อวธูตะ คีตา บทนำ
अवधूत गीता
AVADHUTA GITA
THE SONG OF THE EVER-FREE
By Dattatreya Avadhuta
อวธูตะคีตา
บทเพลงแห่งเสรี
โดย ทัตตะเตรยะ อวธูตะ
อิสระ หรือ เสรี เสรีภาพหมายถึง การหลุดพ้น
ทัตตะเตรยะ” (เทวนาครี: दत्तात्रेय) เป็นบุตรของพระฤาษีอัตริและนางอนุสุยา เป็นอวตารแห่งพระตรีมูรติทั้ง 3 อันได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ
แปลจากภาษาสันสกฤต พร้อมคำอธิบายและบทนำ โดย สวามี เชตนานันทะ
Foreword by Swami Harshananda
คำนำโดย สวามี ฮารชนันทะ
คำนำสำนักพิมพ์
ทำไมยังพิมพ์ “อวธูตะ คีตา” อีกครั้งหนึ่ง? คำตอบคือ ยิ่งตีพิมพ์เผยแพร่มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งดีต่อการเสริมสร้างจิตวิญญาณของมนุษยชาติ พระคัมภีร์มิได้ถูกผูกมัดโดยกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎเกณฑ์ทั่วไป พระคัมภีร์เหล่านี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง
ผู้แปล “อวธูตะ คีตา” ฉบับนี้ได้ให้นิยามที่มีความหมายว่า บทเพลงแห่งเสรี (The Song of the Ever-Free) ซึ่งเป็นข้อความอมตะของเวทานตะ ผลงานการประพันธ์ของ ทัตตะเตรยะ อวธูตะ ถูกตีพิมพ์หลายครั้งพร้อมคำแปลในภาษาต่างๆ สวามี เชตนานันทะ คือผู้แปลฉบับนี้
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราได้ตีพิมพ์งานแปล “อวธูตะคีตา” โดยสวามี เชตนานันทะ ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าสมาคมเวทานตะแห่งเซนต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเขาเคยมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของอไทฺวตะ อาศรมมาหลายปี ก่อนถูกส่งไปต่างประเทศ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือนี้จะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากนักเรียนของเวทานตะตามที่ควร
4 มีนาคม ค.ศ. 1984, อไทฺวตะ อาศรม, สำนักพิมพ์ มายาวตี, ปิโตรกาห์, หิมาลายา
คำนำ
“ร้องไห้ไปใย, สหายเอ๋ย? ในตัวท่านคือพลังทั้งหมด พึงรวบรวมธรรมชาติอันทรงพลังของท่าน, โอ ผู้ยิ่งใหญ่, และจักรวาลทั้งหมดนี้จะอยู่ที่เท้าของท่าน อาตมันเท่านั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง, ไม่มีสิ่งอื่น” เมื่อข้าพเจ้าอายุ 15 ปี ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความอันสวยงามของเวทานตะ[1] ในจดหมายฉบับหนึ่งของสวามี วิเวกานันทะ “ร้องไห้ไปใย, สหายเอ๋ย?” – ประโยคนี้บีบคั้นจิตใจของข้าพเจ้าอย่างแรง แม้กระทั่งวันนี้ข้าพเจ้ายังจำมันได้เต็มตา และเป็นสาส์นอมตะเดียวกันกับเวทานตะ ซึ่งถูกนำมากล่าวอีกครั้งตลอดทั้งอวธูตะคีตา หรือบทเพลงแห่งการหลุดพ้น นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าแปลคัมภีร์โบราณนี้จากภาษาสันสกฤตดั้งเดิมเป็นภาษาอังกฤษ
[1] เวทานตะ แท้จริงแล้วคือ “ตอนจบของพระเวท”; อไทฺวตะเวทานตะ หรือการสอนเรื่องการไม่มีสิ่งคู่ อธิบายโดย ฤภู, ศรี ทัตตะเตรยะ (อวธุตะ), ศรีอัษฏาวกระ, ศรีสังกรา, ศรีรามานะ มหาศรี และปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ อีกมากมาย
ทัตตะเตรยะ อวธูตะ ผู้ประพันธ์คีตานี้ รักษาศาสนาให้คงอยู่ แท้จริงแล้วเขาอยู่เหนือความคิดแห่งร่างกายและชีวิต ไร้ผลกระทบจากคู่ตรงกันข้าม—ร้อนและเย็น สรรเสริญและตำหนิ สุขและทุกข์ เกิดและตาย เขายังคงสงบอย่างสมบูรณ์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและทำอะไรก็ตาม เขาเพลิดเพลินกับความสุขของอาตมัน แต่ในทางกลับกัน, เราใช้ชีวิตในตัณหาและแสวงหาสิ่งชั่วคราวของโลก, และเมื่อไม่ได้รับ เราก็บ่น เราร้องไห้และคร่ำครวญถึงความโชคร้ายของเรา และในขณะที่อวธูตะผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นเช่นสหาย นักปรัชญา และผู้บอกทาง ถามเราว่า: “ร้องไห้ไปใย, สหายเอ๋ย?” เขากำลังทำให้เรามั่นใจว่าเขาได้ค้นพบเทคนิคที่จะทำลายบ่วงแห่งพันธนาการ และเขาพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้บรรลุอิสระเสรี—เป้าหมายของชีวิตมนุษย์
คำนำ – ผู้แปล
ตามธรรมเนียมของเวทานตะ เราต้องเข้าใจปรัชญาที่ว่าด้วยเนื้อหาจากพระคัมภีร์ เหตุผล และประสบการณ์ เคยสังเกตสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจหรือไม่ว่า คัมภีร์ที่ถูกเขียนขึ้นสามารถลบล้างได้ด้วยคัมภีร์ที่ประจักษ์อย่างเปิดเผย, เหตุผลทั่วไปสามารถถูกลบล้างได้ด้วยเหตุผลที่สูงกว่า, แต่ประสบการณ์นั้นไม่สามารถลบล้างเป็นโมฆะได้ เฉกเช่นน้ำตาลมีรสหวาน นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจหักล้างโดยการอ้างอิงคัมภีร์หรือการโต้แย้งใด คำสอนของอวธูตะ คีตา อาศัยประสบการณ์ของทัตตะเตรยะ อวธูตะ ดังที่พระองค์ตรัสเองว่า “อวธูตะผู้ยิ่งใหญ่ หลังจากชำระตนด้วยสมาธิและดื่มด่ำในความสุขของพรหมันอย่างไม่ขาดสาย ได้ขับขานคีตานี้อย่างเป็นธรรมชาติ”
เสรีภาพเป็นบทเพลงแห่งจิตวิญญาณ และอวธูตะขับขานเพลงนั้นตลอดทั้งคีตา ปรัชญาของเขาปราศจากสิ่งคู่ อย่างหมดจด และสรุปได้ด้วยสองสามประโยค: “พรหมันคือความจริงสูงสุด”, “โลกคือสิ่งที่ปรากฏขึ้น, เหมือนเงาในน้ำ”, “ธรรมชาติแท้จริงของจิตวิญญาณของแต่ละบุคคลนั้นศักดิ์สิทธิ์, แต่ความศักดิ์สิทธิ์ (เป็นแบบเทพหรือพระเจ้า) นั้นถูกปกคลุมด้วยอวิชชา” เป็นเพราะอวิชชาทำให้มนุษย์จำกัดตัวเอง และคิดว่าตนเป็นชายหรือหญิง, อเมริกันหรือแอฟริกัน แข็งแรงหรือเจ็บป่วย สวยหรืออัปลักษณ์ รวยหรือจน มีการศึกษาหรือไม่รู้หนังสือ มีความสุขหรือไม่มีความสุข แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นอนันต์ นิรันดร์ และมีความสุข มนุษย์ถูกสะกดจิตโดยมายา เราต้องคลายมนต์สะกดจิตตัวเองเพื่อที่จะเป็นอิสระ
คำสอนที่เป็นนิรันดร์และเป็นสากลของเวทานตะนั้นเต็มไปด้วยความหวังและความแข็งแกร่ง ความปีติยินดีและเสรีภาพ ไม่มีที่สำหรับแนวคิดเรื่องบาปและคนบาป เนื่องจากสัต-จิต-อนันดา (การดำรงอยู่-สติ-ความสุข) ที่แผ่ซ่านไปทั่ว มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ (อย่างเทวะ)
ผู้อ่าน อวธูตะ คีตา บางส่วนอาจรู้สึกว่าแนวคิดซ้ำๆ ที่เที่ยงแท้นั้นน่าเบื่อ แต่ท่านควรรู้ว่านี่เป็นเทคนิคพิเศษของเวทานตะเพื่อเตือนผู้แสวงหาจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องว่าในความเป็นจริงเขาเป็น (อาตมัน) นิรันดร์ บริสุทธิ์ สว่างไสว เป็นอิสระและมีความสุข ด้วยวิธีนี้, อวธูตะได้ตีกลองของเวทานตะเพื่อคลายมนต์สะกดจิตเรา เพื่อปลุกเราจากการนอนหลับลึกแห่งอวิชชา
ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อ Jay Michael Barrie และ Pravrajika Anandaprana จาก Vedanta Society of Southern California และ Irene Bergman และ Cecile Guenther แห่ง Vedanta Society of St. Louis ที่ได้กรุณาแก้ไขต้นฉบับ และถึง Swami Harshananda อาจารย์ใหญ่ , Ramakrishna Institute of Moral and Spiritual Education เมือง Mysore ประเทศอินเดีย ซึ่งไม่เพียงแต่ตรวจสอบการแปลด้วยต้นฉบับภาษาสันสกฤตเท่านั้น แต่ยังมีส่วนในคำนำที่น่าครุ่นคิด ความซาบซึ้งเป็นพิเศษที่ข้าพเจ้ามีต่อ Christopher Isherwood ผู้อ่านต้นฉบับ ให้คำแนะนำอันมีค่าแก่ข้าพเจ้ามากมาย และแก้ไขบางข้อของบทแรกและทั้งบทที่แปด ข้าพเจ้าขอขอบคุณ Eleanor Grzeskowiak และ Linda Prugh อย่างจริงใจสำหรับการพิมพ์ต้นฉบับ และสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งสำหรับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากผู้เลื่อมใสในเวทานตะซึ่ง ได้ทำให้สิ่งพิมพ์นี้เป็นไปได้
January 1, 1984
CHETANANANDA
สมาคมเวทานตะ แห่ง เซนหลุยส์
1 มกราคม ค.ศ. 1984
เชตนานันทะ
คำนิยม
ศาสนาฮินดูยืนบนหลักสามประการ—คีตา คงคา และคยาตรีเป็นเหมือนขาทั้งสาม คีตาย่อมาจากปรัชญา คงคาหมายถึงพิธีกรรม และ คยาตรีหมายถึงการปฏิบัติทางจิตวิญญาณเช่นการทำสมาธิ ในบรรดาคีตาทั้งหลาย “ภควัทคีตา” (เพลงของพระเจ้า) ครองตำแหน่งคีตาที่โดดเด่นที่สุด กล่าวกันว่าภควัทคีตาเป็นแก่นแท้ของอุปนิษัท นั่นคือเหตุผลที่มีการแปล ตีความ และเขียนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับภควัทคีตาอย่างมากมายในช่วง 1300 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น มีอีกหลายคีตาซึ่งเลียนแบบต้นฉบับอันยอดเยี่ยม และได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ที่สำคัญหรือ บ้างก็เป็นงานเขียนอิสระ บรรดาบทความดังกล่าวมีมากถึง 36 เล่ม ได้แก่ “อุทธวะ คีตา” (Uddhava Gita – Shrimad Bhagavatam, XI. 6-29), “รามะ คีตา” (Rama Gita – Adhyatma Ramayana, VII. 5), “อัษฏาวกระ คีตา” และ อวธูตะ คีตา (Avadhuta Gita) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
อวธูตะ เป็นบทประพันธ์อิสระเกี่ยวกับ อไทฺวตะ เวทานตะ และเทศนาเกี่ยวกับความไม่เป็นคู่ที่แน่วแน่ บทประพันธ์นี้ประพันธ์โดยอวธูตะ ทัตตะเตรยะ นั่นคือเหตุผลที่บทประพันธ์นี้ถูกเรียกว่า ทัตตะ คีตา หรือ ทัตตะ-คีตา-โยคะ-ศาสตร์ (Datta-Gita-Yoga-Shastra) บางครั้งก็มีชื่อว่า เวทานตะ-สาระ (Vedanta-sara)
หนังสือเล่มเล็กที่มี 271 ข้อนี้แบ่งออกเป็น 8 บท บทแรกเกี่ยวกับธรรมชาติของอาตมัน รอบรู้ มีอำนาจทุกอย่าง และอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีพันธนาการ ไม่มีการหลุดพ้นด้วย บทที่ 2 เกี่ยวกับการพิสูจน์ในสิ่งเดียวกัน ความเป็นคู่เกิดจากความไม่รู้ในธรรมชาติที่แท้จริงของเอกภาพ (One) อนึ่ง แม้แต่อวธูตะผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังบอกเป็นนัยถึงความจำเป็นในการมีคุรุ (II. 23) ของชีวิตฝ่ายวิญญาณ สองบทถัดมาจะกล่าวถึงธรรมชาติภายในของอาตมันด้วยสำนวนที่ไพเราะ บทที่ 5 แนะนำให้คนผู้หนึ่งละทิ้งการคร่ำครวญทั้งหมด เนื่องจากอาตมันจะเหมือนกันในทุกสภาวะ บทที่ 6 ลบล้างความแตกต่างทุกประเภท—ไม่ว่าจะเป็นวรรณะหรือครอบครัว, ของความรู้สึกหรือวัตถุ, ของจิตใจหรือสติปัญญาหรือกิจกรรมของพวกเขา—เพราะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อมองจากมุมมองของอาตมัน. บทที่ 7 พรรณนาถึงสภาวะของอวธูตะ บทที่ 8 ให้คำจำกัดความของคำว่า อวธูตะ โดยการตีความแต่ละพยางค์ของคำนั้น
อวธูตะ ทัตตะเตรยะ เป็นผู้ประพันธ์คีตานี้เป็นใคร? ท่านคือองค์ศรีวิษณุผู้เป็นเจ้า กำเนิดเป็นบุตรชายของ ฤษีอัตริ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และ อนุสุยาภรรยาผู้บริสุทธิ์ บ่อยครั้งที่กล่าวกันว่า ท่านเป็นอวตารของ ตรีมูรติ (สามเทพสูงสุดของศาสนาฮินดู) พรหม-วิษณุ-ศิวะ ที่กำเนิดจากฤษีอัตริและอนุสุยา บางครั้งกล่าวว่าท่านเป็นหนึ่งในเจ็ดปราชญ์ (สัปตฤษี) เป็นผู้ที่สอนความรู้เรื่องอาตมันแก่ พราหลดา[1] อลาร์กา ยาดู และกรรตวีรยะ ท่านสามารถทำลายเหล่าปีศาจได้ด้วยพลังแห่งความเคร่งครัด ในอุปนิษัทได้กล่าวถึงท่านอย่างสูงส่ง เช่น จาบาลทรรศน-อุปนิษัท นารท-ปาริวรจกฺก-อุปนิษัท ยญฺญวลฺคย-อุปนิษัท และภิกฺศุข-อุปนิษัท
[1] พราหลดา หรือ พรลดา กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุตรของหิรัณยกศิปุ (สันสกฤต: हिरण्यकशिपु) เป็นอสูรในคัมภีร์ปุราณะของศาสนาฮินดู ซึ่งถูกนรสิงห์ (อวตารของพระวิษณุ) สังหาร
สนฺดิลฺย-อุปนิษัท ได้อธิบายความหมายของคำว่า ทัตตะเตรยะ และประวัติโดยสังเขปด้วย จากทั้งหมดนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า ทัตตะเตรยะเป็นบุคคลทางจิตวิญญาณในสมัยโบราณ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักปราชญ์หรืออวตาร ก็เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงตามยุคสมัย เมื่อกล่าวถึงสัญลักษณ์ของทัตตะเตรยะ ท่านมักจะถูกวาดภาพว่ามีสามเศียรและหกกร ท่านถูกล้อมรอบด้วยสุนัขสี่ตัวและวัวหนึ่งตัว สามเศียรเป็นเศียรของพรหม วิษณุ และศิวะ พระหัตถ์ทั้ง 6 อันแสดงถึงคุณสมบัติเหนือธรรมชาติ ๖ (ภค) ถือสังข์ จักร กลอง (ดามารูหรือบัณเฑาะว์) ตรีศูล ลูกประคำ (อักษมะลา) และหม้อน้ำ (กัมมันดาลู) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตามแบบฉบับของเทพสูงสุดทั้งสาม ท่านสวมรองเท้าแตะไม้ซึ่งบ่งบอกถึงความแคร่งครัด นั่นเหตุผลที่ท่านได้รับการบูชาในฐานะที่เป็นนักบวชในอุดมคติ มาลาลูกปัดรุทรักษะ (สายประคำ) ที่สวมใส่แสดงถึงอนุกรมของจักรวาลที่ถูกสร้างขึ้นโดยท่าน ผมสังกะตังเป็นสัญลักษณ์ของไฟแห่งความรู้ สุนัขสี่ตัวคือพระเวททั้งสี่[1] แม้แต่พระเวทซึ่งให้ความรู้อันนำพาเราไปสู่การตรัสรู้ ก็ติดตามท่านเหมือนสุนัข เช่นเดียวกับสุนัขที่พยายามปกป้องนายของมัน แต่ในความเป็นจริงมันได้รับการคุ้มครองจากท่าน พระเวทจึงพยายามปกป้องพระเจ้า ตัวตนของความชอบธรรม แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วพระเจ้าคือผู้ปกป้องพวกเขา วัวเป็นตัวแทนของพระแม่แห่งโลกหรือธรรมชาติ
[1] พระเวททั้งสี่ คือ ฤคเวท, ยชุรเวท (กฤษณะยชุรเวท, สุขาละ ยชุรเวท), สามเวท และ อาถรรพเวท
อวธูตะ คีตา แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นข้อความที่ยากต่อการแปลอย่างชาญฉลาด ความยากเพิ่มขึ้นด้วยคำที่คลุมเครือและโครงสร้างทางไวยากรณ์ที่ผิดปกติ นอกจากนี้ ยังมีบทกวีหลายบทและการซ้ำหลายครั้ง ไม่มีคำอธิบายภาษาสันสกฤต ที่จะช่วยไขปริศนาบางอย่างได้เลย แม้จะมีความบกพร่องเหล่านี้ ท่านสวามี เชตนานันทะ ก็ได้ทำการแปลเพื่อให้อ่านได้เป็นอย่างดี ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ฝักใฝ่ในทางจิตวิญญาณเข้าใจข้อความได้ดีขึ้น
Mysore, India
March 31, 1976
สวามี ฮารชนันทะ
ไมซอร์, อินเดีย
31 มีนาคม ค.ศ. 1976
บทนำ
ชีวิตและการสอนของทัตตะเตรยะ อวธูตะ
ชีวประวัติ
ทุกศาสนามีสามส่วน: ปรัชญา พิธีกรรม และตำนาน ปรัชญาเปรียบได้กับรากฐานที่มีโครงสร้างซึ่งก่อขึ้นด้วยพิธีกรรม และสิ่งนี้ก็ถูกประดับประดาด้วยตำนาน ในสมัยโบราณ ตำนานมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ เพราะตำนานเป็นการรวบรวมเรื่องราว วัฒนธรรม และศาสนา ไว้ด้วยกัน ผู้คนสมัยใหม่มองตำนานด้วยความสงสัย พวกเขารู้สึกว่าตำนานปรัมปราเป็นเพียงนิทาน เรื่องเล่าที่แต่งขึ้น ประเพณีที่ไม่เป็นประวัติศาสตร์ และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง แต่แท้จริงแล้ว พลังอันน่าทึ่งของตำนานโอบกอดจิตวิญญาณแห่งศาสนาไว้สำหรับมวลชนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้แสวงหาความจริงต้องมีจิตใจที่ตื่นตัวและวิจารณญาณที่ชัดเจน มิฉะนั้นเขาอาจจะรู้สึกสนุกสนานไปกับตำนานเหล่านี้เหมือนเป็นนิทานที่มีเสน่ห์และพลาดเนื้อหาคำสอนที่สำคัญไป
มีเรื่องราวมากมายอยู่ในพระเวท ปุราณะ และมหากาพย์ ซึ่งส่วนใหญ่แสดงให้เห็นถึงคำสอนอันเป็นนิรันดร์ของพระเวท มันเป็นคำสอนมากกว่าเรื่องราวที่น่าติดตามและสนุกสนาน—ตัวอย่างเช่น: มหาภารตะประกอบด้วยหนึ่งแสนโศลกที่มีเรื่องราวและตัวละครนับไม่ถ้วน ได้บรรจุคำสอนเจ็ดร้อยโศลกของ ภควัทคีตา ที่เป็นแก่นสารอยู่ในมหากาพย์อันยิ่งใหญ่นั้น
อวธูตะคีตา หนึ่งในหนังสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีความสำคัญมากที่สุดของพระเวท ได้รับการบันทึกว่า ประพันธ์โดย ทัตตะเตรยะ มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับทัตตะเตรยะในมหาภารตะภควตัม และวิษณุปุราณะ รวมถึง มารกัณเฑยะปุราณะ ที่มีภาพร่างชีวประวัติสั้น ๆ เรื่องราวเป็นดังนี้ –
กาลครั้งหนึ่งมีพราหมณ์เฒ่าเป็นโรคเรื้อนอยู่ ภริยาของเขาซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้างในเรื่องพรหมจรรย์อันวิเศษสุด ปฏิบัติต่อสามีมาก รักใคร่เลี้ยงดูเขาด้วยความดี ความจงรักภักดีและความแน่วแน่
คืนหนึ่ง ขณะแบกสามีที่ทุพพลภาพไปตามถนน เธอเดินผ่านต้นไม้ที่ฤาษีนั่งสมาธิอยู่ เนื่องจากเป็นคืนที่มืดมิดมาก ภรรยาจึงไม่เห็นฤาษี และเมื่อเธอเดินผ่านไป เท้าของสามีของเธอก็ไปแตะกับร่างของฤาษีนั่งสมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจ ฤาษีโกรธเคืองและสาปแช่งสามีของเธอว่า “ผู้ที่เตะฉันและรบกวนการทำสมาธิของฉันจะตายตอนพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้”
เป็นธรรมดาที่ภรรยาอารมณ์เสียมาก แต่เธอสงบสติอารมณ์ว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น” เนื่องจากสิ่งที่หญิงผู้บริสุทธิ์พูดนั้นต้องเป็นจริง วันรุ่งขึ้นพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น โลกเต็มไปด้วยความมืดและความโกลาหล
เหล่าทวยเทพไปหาพระพรหมผู้สร้างเพื่อหาทางออก เขากล่าวว่า: “อำนาจเท่านั้นที่สามารถเอาชนะอำนาจ และมีเพียงทาปาสยา [การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ] เท่านั้นที่สามารถเอาชนะทาปาสยาได้ พลังของผู้หญิงที่บริสุทธิ์หยุดพระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้นเราต้องขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงบริสุทธิ์อีกคนที่สามารถต่อต้านพลังของเธอและฟื้นฟูพระอาทิตย์ขึ้นได้”
ตามคำแนะนำของพระพรหม เหล่าทวยเทพได้แสวงหาอนุสุยา ภริยาที่บริสุทธิ์และมีคุณธรรมของฤษีอัตริ พวกเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังและขอความช่วยเหลือจากเธอ ด้วยคำวิงวอนของพวกเขา อนุสุยาจึงเข้าไปหาภริยาของพราหมณ์ด้วยถ้อยคำหวานว่า “อำนาจแห่งวาจาของท่านหยุดพระอาทิตย์ขึ้น และผลก็คือ สรรพสิ่งทั้งมวลจึงอยู่ในสภาพที่โกลาหล ข้าฯ เห็นว่าเราอาจทำข้อตกลงฉันมิตรได้หรือไม่ หากท่านถอนคำสาปและขอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง ข้าฯ จะคืนชีวิตให้กับสามีที่ตายไปแล้วของท่านด้วยพลังแห่งความบริสุทธิ์ของข้าฯ” ภริยาของพราหมณ์จึงตกลง พระอาทิตย์ขึ้น และอนุสุยาก็คืนชีพให้กับพราหมณ์ตามสัญญา เหล่าทวยเทพพอใจอย่างยิ่ง จึงมอบพรแก่อนุสุยา ในครั้งนี้เธอขอพรให้ พรหม วิษณุ และศิวะเกิดเป็นลูกชายของเธอ—ทวยเทพตอบรับพรนั้น; และพรหมเกิดเป็นจันทรา วิษณุเกิดเป็นทัตตะเตรยะ และศิวะเกิดเป็นทุรวาส
ทัตตะเตรยะเป็นร่างจุติของวิษณุ เป็นปราชญ์และโยคีผู้ยิ่งใหญ่ ฝึกฝนโยคะหลายรูปแบบอย่างเคร่งครัด ท่านมีบุคลิกที่ดึงดูดใจปราชญ์รุ่นเยาว์อย่างมากจนติดตามท่านไปทุกหนแห่ง อย่างไรก็ตาม ทัตตเตรยะต้องการอยู่คนเดียว เนื่องจากความสันโดษเอื้อต่อการฝึกโยคะมากกว่า เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความฟุ้งซ่านของสาวกรุ่นเยาว์เหล่านี้ ท่านได้แช่ตัวในทะเลสาบ ทิ้งไว้ที่ก้นทะเลเป็นเวลานาน ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะไม่จากไป พวกเขาพักอยู่ที่ริมทะเลสาบเพื่อรอให้ท่านกลับมาอีก
ทัตตะเตรยะจึงคิดแผนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชน ท่านขึ้นจากก้นทะเลสาบ พร้อมกับสาวงามผู้หนึ่ง ซึ่งมิใช่อื่นใดนอกจากภรรยาของท่าน (ลักษมี) ทัตตะเตรยะคิดว่าบรรดาศิษย์ซึ่งไม่รู้ว่าหญิงสาวนั้นเป็นใคร ก็จะพากันคิดว่าท่านได้หลุดพ้นจากสภาวะแห่งโยคะอันสูงส่งแล้ว ก็จะไม่แยแสและจะทิ้งท่านไป แต่นักปราชญ์รุ่นเยาว์ไม่ได้ถูกหลอก พวกเขารู้ว่าทัตตะเตรยะเป็นร่างจุติของวิษณุและโยคีผู้ยิ่งใหญ่ ท่านอยู่เหนือความดีและความชั่ว และพฤติกรรมภายนอกของท่านเป็นเพียงการแสดง ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดสามารถแปดเปื้อนท่านได้ เนื่องจากใบบัวไม่สามารถเปียกด้วยน้ำที่ลอยอยู่ได้ ดังนั้นจิตของโยคีจึงไม่อาจสัมผัสโลกได้ ปราชญ์รุ่นเยาว์ให้เหตุผลในลักษณะนี้และอยู่กับคุรุทัตตะเตรยะที่เคารพนับถือของพวกเขาต่อไป
อีกครั้งหนึ่งมีสงครามระหว่างทวยเทพและปีศาจ เหล่าทวยเทพต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่ก็พ่ายแพ้และถูกปีศาจขับไล่ออกจากสวรรค์ ด้วยความสิ้นหวังจึงไปปรึกษากับคุรุเทพพฤหัสปติ คุรุเทพจึงส่งพวกเทพไปหาทัตตะเตรยะ แต่เมื่อทัตตเตรยะได้รับคำขอร้องจากทวยเทพ ทัตตะเตรยะก็กล่าวว่า “ท่านมาหาข้าฯ ทำไม? ข้าฯ กินอาหารที่มีมลทินและอาศัยอยู่กับผู้หญิง ท่านคิดว่าบุคคลเช่นข้าฯ สามารถช่วยท่านพิชิตศัตรูได้หรือ”
“ข้าแต่พระองค์ฯ” เหล่าทวยเทพตอบ “พระองค์ไร้บาปเป็นนิจ โปรดเมตตาต่อพวกข้าฯ ท่านเป็นโยคี จิตของท่านผ่องใสด้วยความรู้ของพรหมัน และไม่มีอวิชชาใดเข้ามากรายใกล้ หญิงผู้นี้คือมารดาของจักรวาลและบริสุทธิ์นิรันดร์ นางเป็นศูนย์รวมของความบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วการอยู่ร่วมกับนางไม่สามารถทำให้ท่านไม่บริสุทธิ์ได้”
ทัตตะเตรยะมีความยินดีและกล่าวว่า “ได้. หากท่านมีศรัทธาที่แน่วแน่ในตัวข้าฯ จงไปท้าพวกปีศาจและล่อพวกมันมาอยู่ต่อหน้าข้าฯ ณ ที่แห่งนี้ ข้าฯ จะลดพลังของพวกมันด้วยพลังทางจิตวิญญาณของข้าฯ จากนั้นพวกท่านก็จะสามารถโจมตีได้”
ตามคำสั่งของทัตตะเตรยะ เหล่าทวยเทพได้ท้าทายพวกปีศาจ และล่อให้พวกมันไล่ตามมายังอาศรมของทัตตะเตรยะ ปีศาจเหล่านั้นพบลักษมีนั่งข้างทัตตะเตรยะซึ่งอยู่ในห้วงสมาธิ โดยไม่อาจต้านทานต่อเสน่ห์และความงามของนาง พวกปีศาจจึงจับลักษมีไว้บนหัวและลักพาตัวนางไป ทัตตะเตรยะหัวเราะและกล่าวแก่เหล่าทวยเทพว่า “ชัยชนะเป็นของท่าน เพราะการแตะต้องภริยาของผู้อื่นถือเป็นบาปหนัก การกระทำเช่นนี้ทำให้พลังทางกายภาพอ่อนแอลง และในขณะเดียวกันกิเลสที่ปลดปล่อยออกมาทำให้พวกมันหมดสติ ตอนนี้ก็ได้เวลาโจมตีและพิชิต”
เหล่าทวยเทพทำตามคำสั่งของทัตตะเตรยะ ทำลายล้างเหล่าปีศาจ ได้ช่วยลักษมี เทพีแห่งโชคลาภ และนำนางกลับมายังทัตตะเตรยะ อีกครั้งที่เหล่าทวยเทพมีความสุข
ความยิ่งใหญ่ของทัตตะเตรยะถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์หลายเล่ม บางครั้งเขาถูกพรรณนาว่าเป็นนักพรตและโยคีที่ให้พรอย่างฟุ่มเฟือย บางครั้ง ก็ถูกกล่าวถึงว่าเป็นคนโลกีย์ รักความหรูหราและไม่สนใจ แน่นอนว่าด้านที่สองของท่านคือมายา ซึ่งท่านแสดงให้เห็นต่อหน้าคนทั่วไป โดยหวังว่าพวกเขาจะเต็มไปด้วยความรังเกียจและปล่อยท่านไว้ตามลำพัง แต่ปราชญ์ (ผู้รู้) เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของท่าน อยู่ด้วยกันกับท่าน จึงได้รับพรและการปกป้องคุ้มครองจากท่าน
ความงดงามของเทพนิยายอินเดียอยู่บนความจริงที่ว่าด้วยเรื่องราวที่สดใสและน่าจดจำ ปราศจากข้อโต้แย้งเชิงปรัชญา บทเรียนเชิงปฏิบัติจึงถูกนำเสนอต่อคนธรรมดาทั่วไปเพื่อการสั่งสอนและแรงบันดาลใจ ดังนั้นตำนานของ ทัตตะเตรยะทำให้เรานึกถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์: แสวงหาพระเจ้าถ้าท่านต้องการความสงบและความสุข หากท่านปล่อยให้ตัวเองถูกสะกดจิตโดยมายา ท่านจะถูกทำลายเช่นเดียวกับปีศาจ
การสอนของท่านฯ
โยคีเท่านั้นที่มีสิทธิ์สอนโยคะ ในฐานะที่เป็นอวตารของวิษณุ ทัตตะเตรยะเกิดมาเป็นโยคีอย่างแท้จริง จึงมีสาวกหลายคนซึ่งท่านนำให้เข้าสู่ความลึกลับของโยคะ นี่คือตัวอย่างบางส่วนสำหรับคำแนะนำในการให้ทางสว่างของท่านทัตตะเตรยะ:
บุตรเอ๋ย, ข้าฯ ขอบอกสิ่งหนึ่ง: หากท่านต้องการบรรลุความสมบูรณ์ในตาปาส [ปฏิบัติสมาธิ] ในจาปา [สวดมนต์พระนามของพระเจ้า] หรือในโยคะ ท่านต้องใช้ความเพียรอย่างมาก หากท่านมีคุณสมบัติแรกที่ขาดไม่ได้นี้ ท่านสามารถบรรลุทุกสิ่งที่ท่านเลือก ไม่ว่าจะเป็นการตรัสรู้ สถานะของเทพเจ้า หรือตำแหน่งสูงสุดในสวรรค์หรือบนโลก
สำหรับผู้ที่ควบคุมจิตใจและประสาทสัมผัสของตนและอดทนด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่ไม่รู้และไม่มีอะไรที่ไม่สามารถบรรลุได้ในทุกสถานที่ มดตัวเล็ก ๆ ถ้ามันคลานไปเรื่อย ๆ สามารถเดินทางได้หลายพันไมล์ ในทางกลับกัน ครุฑผู้เป็นราชาแห่งปักษาและพาหนะของวิษณุ จะข้ามผ่านคูน้ำเล็กๆ ไม่ได้ หากไม่พยายามจะโบยบิน
บุตรเอ๋ย, ถ้าท่านต้องการที่จะฝึกโยคะ ท่านต้องปล่อยวางสิ่งที่ยึดถือทั้งหมดออกจากหัวใจของท่าน ถ้าทำไม่ได้ ก็จงอยู่ร่วมกับผู้บริสุทธิ์ เพราะการคบหาผู้บริสุทธิ์คือยาครอบจักรวาลสำหรับโรคแห่งโลกีย์ ละทิ้งความปรารถนาทั้งหมด แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็จงปลูกฝังความปรารถนาที่จะหลุดพ้น ความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจะทำลายความปรารถนาอื่น ๆ ทั้งหมด
บุคคลผู้ปล่อยวางเป็นอมตะ แบ่งแยกไม่ได้ ไม่แปรเปลี่ยน เป็นอาตมันอันหลุดพ้นตลอดกาล การเข้าไปพัวพันกับความสุขทางความรู้สึก ก็เหมือนกาที่เลวทรามซึ่งมักจับจ้องอยู่ที่ของสกปรกอยู่เสมอ ละความชั่วในความคิด คำพูด และการกระทำ หากจิตเบิกบานในกามคุณ ย่อมไปไม่ถึงสวรรค์และนิพพาน
ราคะนำไปสู่ความทุกข์และพันธนาการ ในขณะที่จิตวิญญาณนำไปสู่ความสุขและการปลดปล่อย คนโง่ชอบสัมผัสร่างกายของผู้อื่นซึ่งเต็มไปด้วยความโสมม ซึ่งประกอบด้วยเนื้อ เลือด กระดูก ไขกระดูก ไขมัน เสมหะ และองค์ประกอบที่ไม่บริสุทธิ์อื่นๆ ปราชญ์ผู้มีปัญญาย่อมหลีกเลี่ยงการสัมผัสดังกล่าว
ข้อควรรู้: ของมึนเมามีสามประเภท ทำจากกากน้ำตาล น้ำผึ้ง และข้าวโพด แต่มีประการที่สี่ คือสุราแห่งกามารมณ์ ซึ่งทำให้คนทั้งโลกมึนเมา ปราชญ์ผู้มีปัญญาควรอยู่เหนือความปรารถนาทางโลกและจดจ่ออยู่กับสัจธรรมสูงสุด
ส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์นั้นควบคุมโดยอารมณ์ของจิตใจ เมื่อจิตเป็นทุกข์และไม่สมดุล อารมณ์ของจิตก็จะไม่สมดุลและกลืนกินไปตามลำดับ เพราะฉะนั้น จิตควรได้รับการปกป้องทุกวิถีทาง การแยกแยะจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจสงบ
ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เมื่อใดที่ท่านสามารถแยกแยะระหว่างอาตมันและที่ไม่ใช่อาตมัน แสดงว่าท่านได้มาถึงจุดสูงสุดของโยคะแล้ว เมื่อการแยกแยะนี้เกิดขึ้นในจิตใจของโยคี เขาจะตระหนักรู้ดังนี้: ข้าพเจ้าไม่ใช่กายนี้ซึ่งประกอบด้วยดิน น้ำ ไฟ อากาศ และที่ว่าง; ข้าพเจ้าปรารถนาความสุข สุขและทุกข์ผ่านเข้ามาในร่างกายและผ่านไป เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ใช่ร่างกาย และในธรรมชาติที่แท้จริงของข้าพเจ้าไม่มีการขึ้นๆลงๆ ข้าพเจ้าจึงเหมือนเดิม—เงียบ สงบ ไม่หวั่นไหวจากเหตุการณ์ภายนอก ในทำนองเดียวกัน สุขและทุกข์ก็มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในจิตใจเช่นกัน อีกครั้ง, เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ใช่จิต และเนื่องจากธรรมชาติแท้ของข้าพเจ้าไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ข้าพเจ้าจึงเหมือนเดิม—เงียบ สงบ ไม่หวั่นไหวจากเหตุการณ์ภายใน ปล่อยให้ความพึงพอใจและเจ็บปวด ความสุขและความทุกข์ อยู่ในกายหรือใจ มันไม่ส่งผลกระทบใดกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าคืออาตมัน—ภาวะนิรามิสสุขแห่งการตระหนักรู้อันสมบูรณ์ (Atman—Existence-Knowledge-Bliss Absolute)
ข้าพเจ้าจะรักษาคุณธรรมไปทำไมในเมื่อไม่มีร่างกาย? ทรัพย์สมบัติจะมีประโยชน์อะไรหากข้าพเจ้าไม่มีมือ เท้า หรือศีรษะ? เพราะฉะนั้น แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีศัตรูหรือมิตร ทุกข์หรือสุข บ้านหรือทรัพย์สมบัติ และถ้าสิ่งนี้เป็นจริงสำหรับข้าพเจ้าแล้ว, มันก็เป็นความจริงสำหรับทุกคน ที่ว่าง [อากาศ] เป็นหนึ่งเดียว แต่มันมีรูปแบบตามภาชนะ ดังนั้นจึงปรากฏรูปร่างเป็นหม้อ ไห ห้อง และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน อาตมันก็เป็นหนึ่งเดียว แต่ดูเหมือนจะมีมากมาย, กำลังอาศัยอยู่ในหลายร่าง
บุตร ที่รัก, ข้าพเจ้าได้บอกท่านสั้น ๆ เกี่ยวกับการแบ่งแยกระหว่าง อาตมัน กับ ไม่ใช่อาตมัน มีเพียงบุคคลผู้มีสายตาเดียวกัน ผู้ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากอาตมันในสิ่งทั้งปวง ทุกที่และทุกเวลาเท่านั้น ที่จะบรรลุถึงสภาวะอันสูงส่งนี้ได้ ผู้ที่มองเห็นความเป็นคู่มักจะจมอยู่ในมหาสมุทรแห่งความเศร้าโศกเสมอ จิตใจของมนุษย์ผูกติดอยู่กับวัตถุต่าง ๆ ซึ่งเขาหวังจะพบความเพลิดเพลินในสิ่งนั้น กลับกลายเป็นการสะสมแต่ความทุกข์ยาก
หากนกที่ท่านเลี้ยงถูกแมวฆ่า ท่านรู้สึกแย่ แต่ในทางกลับกัน ถ้าแมวตัวเดียวกันฆ่าหนู มันกลับไม่รบกวนท่านเลย จึงเป็น “ความผูกพัน” ที่นำความทุกข์มาให้; ในความไม่ผูกพันนั้นมีความสุขที่แท้จริงอยู่ เพียงประการเดียว
อีกครั้ง, ความสุขและความทุกข์ขึ้นอยู่กับการกระจายของคุณะ [คุณสมบัติ] ถ้าสัตตวะ [ความสงบ] มีความเหนือกว่า บุคคลก็มีความสุข และถ้าเขาถูกครอบงำด้วยตมัส [ความเฉื่อยชา] หรือ รชัส [ความกระวนกระวายใจ] เขาก็ไม่มีความสุข
นี่เป็นอุปมา: ความเขลาของมนุษย์ก็เหมือนต้นไม้ อัตตานั้นงอกออกมาจากลำต้นของสิ่งที่ยึดถือ, เช่นบ้านและทรัพย์สินเป็นกิ่งก้านของมัน ภรรยา ลูกๆ และญาติๆ เป็นกิ่งที่หล่อเลี้ยงใบแห่งความมั่งคั่งและการเก็บเกี่ยว ความดีและความชั่วเป็นดอกไม้ สุขและทุกข์เป็นผล และต้นไม้ต้นนี้ ซึ่งเติบโตอย่างแข็งแรงตลอดหลายศตวรรษนับไม่ถ้วน และบัดนี้มันปิดกั้นเส้นทางสู่การหลุดพ้น มันได้รับการรดน้ำและหล่อเลี้ยงด้วยมนต์สะกดของภาพลวงตา ความปรารถนาในผัสสะวัตถุเปรียบเสมือนฝูงผึ้งป่าที่รุมล้อมต้นไม้ เสียงหึ่ง ๆ ครวญครางขับกล่อมวิญญาณที่อ่อนล้า หมกมุ่นอยู่กับความเพลิดเพลินทางโลก ผู้พักอยู่ใต้ร่มเงาของมัน จึงไร้ความหวังที่จะหลุดพ้น
ในทางกลับกัน บรรดาผู้ลับขวานแห่งความรู้บนหินลับขวานอันศักดิ์สิทธิ์ (การอยู่ร่วมกับผู้สูงส่ง-บริสุทธิ์) สามารถโค่นต้นไม้แห่งความโง่เขลานี้ได้ และเข้าไปในอุทยานอันเงียบสงบของพรหมัน ที่ซึ่งมีความเป็นอิสระจากพืชหนามแห่งตัณหาและฝุ่นของความปรารถนาที่ทำให้ตาพร่ามัว ที่นี่คลื่นจิตหยุดทำงาน และเขาผู้นั้นก็บรรลุความสว่าง
เราไม่ได้เป็นผลมาจากองค์ประกอบที่รวมกับความรู้สึก เราคืออาตมันและอยู่เหนือมายา เนื่องจากปลาอาศัยอยู่ในน้ำแต่มีความแตกต่างจากน้ำ ดังนั้นอาตมันจึงอาศัยอยู่ในร่างกายแต่ก็แตกต่างจากร่างกาย
ผู้ฝึกโยคะอย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยตัวเองจากความเขลาและบรรลุความรู้ที่เป็นหนึ่งเดียว เรียกได้ว่า การหลุดพ้น หรือ มุกติ การหลุดพ้นเกิดจากโยคะ และโยคะจากความรู้ที่สามารถแบ่งแยก[1]–แบ่งแยกจากความทุกข์ และความทุกข์เกิดจากความผูกพัน[2] ดังนั้น ผู้ที่แสวงหาการหลุดพ้นต้องหลีกหนีจากความผูกพันทุกรูปแบบ การไม่ผูกมัดทำให้เกิดความสุข และเมื่อความไม่ผูกพันเกิดขึ้นจากการแบ่งแยก กระแสชีวิตของความรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวคือการไม่ผูกพัน
[1] แบ่งแยก (discriminate) การแยกแยะระหว่างอาตมันและที่ไม่ใช่อาตมัน
[2] ความผูกพัน (Attachment) ความยึดติด ความยึดถือ
จงฟัง นี่คือวิธีที่จะบรรลุถึงตัวตนสูงสุด [ปรมาตมัน] : ชำระอวัยวะแห่งผัสสะ[1] [รับความรู้สึก] ทั้งหมดด้วยปราณยามะ [การควบคุมลมหายใจ], ชำระวัตถุแห่งผัสสะ[2] ทั้งหมดผ่านปราตยาฮาระ [การถอนจิต], ชำระความชั่วร้ายทางจิตใจ[3] [กิเลส] ทั้งหมดด้วยธรรมะ [สมาธิ], และสุดท้ายเผาทั้งคุณะ[4]ทั้งสามผ่านฌาน [การทำสมาธิ] เปรียบเช่นไฟชำระโลหะให้บริสุทธิ์ฉันใด, ตปาสยะ [วินัยทางวิญญาณ] ก็ชำระร่างกาย สัมผัส และจิตใจให้บริสุทธิ์ฉันนั้น
[1] อวัยวะแห่งผัสสะ คือ อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตใจ
[2] วัตถุแห่งผัสสะ คือ อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์
[3] กิเลส สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง มี ๓ ประการ ได้แก่ โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลง)
[4] คุณะ 3 ประการเป็นองค์ประกอบที่สมดุลของประกฤติ สัตวะ แปลว่า ความแท้จริงหรือความมีอยู่ สัตวะเป็นมูลฐานแห่งความดี ความสุข ความเบา ความแจ่มใส ความมีประกายสดใส ความเจิดจ้าแห่งแสงสว่าง การเลื่อนลอยขึ้นเบื้องบน ความพอใจ มีสีขาว (มีลักษณะ ลอย, ส่องสว่าง, แสงสว่าง, ความรู้, ความสุข) ; รชัส (รชะ) แปลว่า ความเศร้าหมอง รชัสเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจลนภาพหรือความเคลื่อนไหว ความกระปี้กระเปร่า ความเจ็บปวด ความกระวนกระวาย ความโหดร้ายรุนแรงของอารมณ์ รชัสทำให้เกิดการกระตุ้นเร่งเร้าอันเป็นผลให้เกิดความเคลื่อนไหว มีสีแดง (มีลักษณะ ปั่นป่วน, กระตุ้น, แรงจูงใจ, ความเจ็บปวด, ความตื่นตัว) ; ตมัส (ตมะ) ความมืด ตมัสเป็นมูลฐานแห่งความเฉยๆ ปราศจากความสนใจ ความโง่เขลา ความสับสน ความเซื่องซึมเหงาหงอย ความหดหู่ ตมัสทำให้เกิดความหยุดนิ่ง (ในแง่ของวัตถุ) มีสีดำหรือคล้ำ (มีลักษณะ หนัก, ห่อหุ้ม, มืด, ไม่แยแส, ความเกียจคร้าน, ความเฉื่อย)
ผู้ที่ฝึกปราณยามะ [การควบคุมลมหายใจ] สามารถเอาชนะความเหนื่อยล้า ความไม่สงบ และความเศร้าโศกได้ เฉกเช่นการเอาชนะสัตว์ดุร้ายเช่นสิงโต เสือ และช้าง ด้วยความรักและความเมตตา, โยคีจึงสามารถพิชิต [เอาชนะ] พลังชีวิตทั้งหลายโดยผ่านปราณยามะ ดังนั้นทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และเขาสามารถทำทุกอย่างที่เขาเลือกได้
ส่วนเรื่องอิริยาบถ นั่งในท่าที่สบาย มีหลายอิริยาบถแต่เลือกท่าที่ช่วยให้ท่านนั่งได้นานโดยไม่ขยับ ฟันบนและฟันล่างไม่ควรสัมผัสกัน ลืมตาขึ้นเล็กน้อยให้พอมองเห็นปลายจมูก พิชิต [เอาชนะ] ตมะด้วยรชัสก่อน ก่อนพิชิต [เอาชนะ] รชัสด้วยสัตตวะ แล้วสุดท้ายก็ซึมซับในพรหมันอันบริสุทธิ์
เฉกเช่นเต่าหดแขนขาเข้าไปในกระดอง, โยคีพึงถอนจิตและความรู้สึกออกจากวัตถุทางโลกีย์และจดจ่ออยู่ที่อาตมัน นี่คือวิธีที่เราสามารถตระหนักถึงอาตมันสูงสุด [Supreme Self – ปรมาตมัน] มี ๑๐ ตำแหน่งสำหรับการเพ่งสมาธิ ประการแรกคือ สะดือ แล้วค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นไปถึงหัวใจ เต้านม ลำคอ ปาก ปลายจมูก ตา หว่างคิ้ว หน้าผาก และสุดท้ายคือทั้งหมดในพรหมันสูงสุด เมื่อบุคคลบรรลุถึงความสมบูรณ์ด้วยสมาธิทั้งสิบนี้ เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพราหมณ์ – ปราศจากโรคภัยและความตาย นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของโยคะ
คำเตือน: อย่าฝึกโยคะในขณะที่ท่านหิว เหนื่อย หรือกังวล หลีกเลี่ยงการนั่งสมาธิในที่ที่อากาศเย็นจัดหรือร้อนจัด อย่าฝึกโยคะใกล้ไฟหรือน้ำ ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ในทุ่งหญ้าที่สกปรก ที่ทางแยกของถนนสี่สาย ท่ามกลางใบไม้แห้ง ในวัง ในที่เผาศพ หรือในสถานที่ใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความกลัว สิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการฝึกโยคะ
หลีกเลี่ยงการอยู่กับความชั่วร้ายที่ไร้ความปราณี หลังจากนั้น เมื่อจิตใจของท่านเต็มไปด้วยการสำนึกในพระเจ้า ย่อมไม่มีที่ว่าง เวลา หรือกลุ่มเพื่อนที่จะรบกวนท่านได้ โยคะนั้นมีประสิทธิภาพมาก ถ้าท่านร้อน ให้ตั้งสมาธิบนหิมะ ถ้าท่านหนาวให้ตั้งสมาธิบนไฟ หากพบว่าจิตไม่สงบ ให้คิดว่าตนเป็นภูเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้
สัญญาณบางอย่างของโยคีคือ: ร่างกายของเขาปราศจากโรคและมีกลิ่นหอมอันสวยงามเล็ดลอดออกมา จิตใจของเขาสงบและปราศจากความโหดร้าย ใบหน้าของเขาสงบ เสียงของเขาหวาน ผิวของเขาสดใส ร่างกายของเขาขับถ่ายน้อย ผู้คนชอบสรรเสริญเขาในเวลาที่เขาไม่อยู่ เขาไม่กลัวใครและไม่มีใครกลัวเขา
