บทที่ 18
ศานติ
อัษฏาวกระได้แสดงหนึ่งร้อยโศลกแห่งความไม่เป็นคู่อันบริสุทธิ์
ตอนที่ 5 – โศลกที่ 81-100
อัษฏาวกระ กล่าว :
18.81
ในขณะที่ยังไม่รู้แจ้ง, ผู้บรรลุธรรมมิได้ใช้เวลายาวนานสำหรับการเอาชนะและการเสียใจ จิตที่เยือกเย็นของเขาถูกเติมเต็มด้วยน้ำหวาน (แห่งบรมสุขนิรันดร์)
18.82
ผู้ไร้ความปรารถนาไม่บูชาความอ่อนโยน และไม่ตำหนิความชั่วร้าย เขาให้ความเท่าเทียมกันทั้งความสุขและความทุกข์ เขาไม่พบสิ่งใดที่จะต้องกระทำ
18.83
ผู้บรรลุธรรมไม่เกลียดการเกิดแล้วเกิดอีก และไม่คาดหวังที่จะบรรลุถึงอาตมัน เขาเป็นอิสระจากความสนุกสนานและความเสียใจ เขาไม่ตายและไม่ได้มีชีวิต
(ไม่เกลียดวัฏสงสาร – สิ่งจำเป็นยิ่งของการหลุดพ้นคือผลที่ตามมา แนวคิดของการย้ายที่อยู่ของวิญญาณ [metempsychosis] เมื่อได้เป็นอาตมันแล้ว, คนที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน วิญญาณของเขาไม่ถูกเคลื่อนย้ายและไม่สูญหาย เขาไม่ได้หดหายไปจากสิ่งหนึ่งหรือปรารถนาสิ่งอื่นใด)
(ไม่ตายและไม่มีชีวิต – ชีวิตและความตายเป็นการเปลี่ยนแปลง อาตมันไร้การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ผู้ตระหนักรู้ในอาตมันไม่มีทั้งสองสิ่งนี้ ทั้งชีวิตและความตาย)
18.84
ความรุ่งโรจน์คือชีวิตของผู้รู้แจ้ง ผู้เป็นอิสระจากความคาดหวัง, เป็นอิสระจากการยึดติดกับ บุตร, ภรรยา และอื่นๆ เป็นอิสระจากวัตถุแห่งสัมผัส และเป็นอิสระจากความห่วงใยแม้แต่ร่างกายของเขาเอง
18.85
ความพึงพอใจนั้นพักพิงอยู่ในหัวใจของผู้รู้แจ้ง ผู้ใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่มาสู่เขาและดำเนินไปอย่างพึงพอใจ เขาพักผ่อนในสถานที่ใดก็ได้เมื่ออาทิตย์ลับฟ้า
18.86
ผู้มีวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ (บรมวิญญาณ หรือ Great-souled) ไม่ห่วงใยแม้แต่ร่างกายจะตายหรือเกิด สันติสุขของเขาอยู่บนพื้นฐานที่เขาเป็น และเขาลืมวัฏสงสาร
(สันติสุข – กาย จิต และโลกทั้งหมด ถูกซ้อนทับอยู่บนอาตมัน เพราะฉะนั้น, การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสิ่งที่ซ้อนทับนั้น ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมัน)
18.87
ผู้ตรัสรู้ คือผู้ที่รู้แจ้งได้ด้วยตนเอง, เขาไม่ยึดติดกับสิ่งใด, เขาปราศจากเอกลักษณ์ของบุคลิกแห่งความเป็นบุคคล, เขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระ, เขาเป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้าม และมีความสงสัยที่ขาดสะบั้นลง
(รู้ได้ด้วยตัวเอง – เขาได้แยกห่างออกไปเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์)
(ปราศจากเอกลักษณ์ – อาตมันนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง, ผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมันไม่มีสิ่งใดที่จะต้องครอบครอง)
18.88
ความรุ่งโรจน์คือผู้รู้แจ้งที่ปราศจากความรู้สึก “ของฉัน” เขาเห็น ดิน, หิน และทองคำเท่าเทียมกัน ปมในใจของเขาถูกทำให้ขาดสะบั้น และเขาล้าง รชัส กับ ตมัส ได้หมดสิ้น
(ล้างได้หมดสิ้น – สัตวะ, รชัส, ตมัส คือ คุณะ 3 ประการ ที่เป็นองค์ประกอบของประกฤติ [ธรรมชาติทั้งหมด ภายในและภายนอก]
สัตวะ คือ พื้นฐานของความรู้ และการตรัสรู้
รชัส คือ พื้นฐานของแรงจูงใจ และความเจ็บปวด
ตมัส คือ พื้นฐานของความเฉื่อยชา และอวิชชา
เมื่อ รชัสและตมัสมีอำนาจเหนือกว่าสัตวะในจิต, มันไม่รับรู้ธรรมชาติของอาตมัน มีเพียงสัตวะที่สามารถสะท้อนการพรั่งพรูด้วยตัวเองของอาตมันได้ ดังนั้นจิตจึงจำเป็นต้องล้างรชัสและตมัสก่อนจะประจักษ์ถึงอาตมัน)
18.89
ผู้ที่มีวิญญาณหลุดพ้น เขาไม่มีความปรารถนาใดๆ เขามีความพึงพอใจและเห็นเท่าเทียมกันต่อสิ่งทั้งปวง ใครจะสามารถเทียบเทียมได้กับเขา?
18.90
ผู้ไม่ปรารถนาที่จะรู้ แม้ในสิ่งที่รู้, ผู้ไม่ปรารถนาที่จะเห็น แม้ในสิ่งที่เห็น, ผู้ไม่ปรารถนาที่จะพูด แม้ในสิ่งที่พูด, เขาคือใครกันหรือ ?
18.91
คือเขา ผู้ที่เป็นขอทาน และ ราชา เขาเหนือกว่าผู้ที่ไม่ยึดติดและมีสายตาที่เป็นอิสระ เห็นสรรพสิ่งเท่าเทียมกันโดยไม่มีความรู้สึกว่าดีหรือชั่ว
(ไม่รู้สึกว่าดีหรือชั่ว – เพราะเขาพบอาตมันในทุกสิ่งเท่าเทียมกันทั้งดีและชั่ว)
18.92
อะไรคือความดิบ?, อะไรคือความยับยั้งชั่งใจ?, อะไรกำหนดสัจธรรมให้กับผู้บรรลุธรรม (โยคี) ซึ่งชีวิตแห่งวัตถุของเขาได้ถูกเติมเต็ม?, และใครคือผู้ที่เป็นร่างของความจริงใจไร้มารยา?
(อะไรคือความดิบ ความยับยั้ง? – แนวคิดเรื่อง หน้าที่และเป้าหมาย เป็นตัวกำหนดและนำทางจริยธรรมของบุคคลนั้น การดำรงอยู่ในอาตมันเป็นหนึ่งไม่มีสอง, ผู้บรรลุธรรม [โยคี] ปราศจากทั้งหน้าที่และเป้าหมาย เพราะฉะนั้น, การกระทำของเขาก้าวข้ามจรรยาบรรณทั้งหมด)
(อะไรกำหนดสัจธรรม – การกำหนดสัจธรรมไม่มีค่าใดสำหรับผู้ที่ประจักษ์ด้วยตนเองว่าคืออาตมัน)
18.93
ใครจะสามารถอธิบายประสบการณ์ ในการไร้ความปรารถนา, ความทุกข์ที่ถูกทำลาย, และความพึงพอใจที่ได้พักพิงในอาตมัน? และเขาจะอธิบายได้อย่างไร?
(อธิบายได้อย่างไร? – เพราะอาตมันนั้นอยู่เหนือจิตและคำพูด)
18.94
ไม่หลับแม้ดูเหมือนกำลังหลับ, ไม่นอนแม้อยู่ในความฝัน, และไม่ตื่นแม้กำลังเดิน, นี่คือผู้รู้แจ้งผู้พึงพอใจในทุกสภาวะ
(ไม่ ฯลฯ – 3 สภาวะของจิต คือ หลับ ฝัน และ ตื่นอย่างเต็มที่ นั้น ถูกส่องสว่างโดยอาตมันที่ไร้การเปลี่ยนแปลง ยืนอยู่ดังผู้สังเกตการณ์นิรันดร์ เขาได้กลายเป็นผู้สถาปนาอยู่ในอาตมัน เพราะฉะนั้น, สภาวะของจิตเหล่านั้นมิได้ส่งผลกระทบต่อเขา)
18.95
ผู้รู้ ปราศจากความคิด แม้ว่าเขากำลังคิด, ปราศจากประสาทสัมผัส แม้เขาจะครอบครองมัน, ปราศจากพุทธิ แม้เขากำลังยกระดับมัน, และปราศจากอัตตา แม้ว่าเขาจะครอบครองมัน
(ผู้รู้ – อาศัยอยู่ในวิชชาของสัมปชัญญะบริสุทธิ์อยู่เสมอ, ผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมันนั้นไร้นิยามที่เป็นรูปธรรม ไม่สามารถระบุได้ด้วยจิตหรือสัมผัส, แม้ว่าเขาจะปรากฏและมีพฤติกรรมต่อผู้อื่นเหมือนกับคนทั่วไป)
18.96
เขาไม่สุขและทุกข์, เขาไม่ยึดติดและปล่อยวาง, เขาไม่หลุดพ้นและปรารถนาความหลุดพ้น, ไม่ทั้งสิ่งนี้และสิ่งนั้น
(ไม่ ฯลฯ – สุขและทุกข์, หลุดพ้นและพันธะ ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยืนยันได้ว่าเป็นอาตมันซึ่งเป็นอิสระนิรันดร์)
18.97
ผู้ตรัสรู้ไม่ไขว้เขวแม้ในเรื่องที่สับสน, ไม่ทำสมาธิแม้อยู่ในสมาธิ, ไม่โง่เขลาแม้อยู่ในสภาวะที่โง่เขลา และไม่ได้เรียนแม้ว่ากำลังเรียน
(ผู้ตรัสรู้ – เป็นมากกว่าที่ปรากฏ เขาตระหนักรู้อาตมัน แยกออกจากกายและจิต, และสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เป็นวิญญาณบริสุทธิ์, เขาไม่ข้องเกี่ยวกับการดำเนินไปของจิตทั้งปวง, ทั้งนี้มิได้หมายถึงกายภาพ)
18.98
ผู้หลุดพ้นพักพิงในอาตมันทุกสภาวะ, เขาเป็นอิสระจากแนวคิดเรื่องการกระทำและหน้าที่ ; เขาเหมือนกันในทุกสถานะ, เขาไม่เป็นเจ้าของความไร้ปรารถนา, เขาตอบสนองต่อสิ่งที่เขากระทำและยังไม่ได้กระทำ
(ไม่เป็นเจ้าของ – อัตตาและผลที่เกิดตามมา, ความปรารถนา, เป็นกระบวนการของความรู้สึกของ “การกระทำและหน้าที่” ผู้หลุดพ้นเป็นอิสระจากการกระทำและหน้าที่อย่างสมบูรณ์, วิญญาณที่หลุดพ้นไม่ข้องเกี่ยวกับพวกมัน แม้ว่าเขายังคงกระทำมันทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต)
18.99
ขอสดุดีต่อผู้ที่ไม่รู้สึกพึงพอใจและตำหนิติเตียน, ผู้ที่ไม่เบื่อหน่ายและรำคาญ, ผู้ซึ่งไม่ยินดีในชีวิตและไม่เกรงกลัวความตาย
(สดุดี – ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันอยู่เสมอ, หนึ่งไม่มีสอง, สำหรับเขาไม่มีผู้สรรเสริญหรือการสรรเสริญ, ไม่มีทั้งผู้ตำหนิและการตำหนิ, ไม่มีทั้งชีวิตและความตาย)
18.100
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แออัดด้วยผู้คน หรือสถานที่อันวิเวก จิตที่สงบศานติเยือกเย็นยังคงเหมือนกันในทุกสภาวะและทุกสถานที่