บทที่ 18
ศานติ
อัษฏาวกระได้แสดงหนึ่งร้อยโศลกแห่งความไม่เป็นคู่อันบริสุทธิ์
ตอนที่ 4 – โศลกที่ 61-80
อัษฏาวกระ กล่าว :
18.61
การไม่กระทำของผู้หลอกลวง (ว่าบรรลุธรรม) ก่อให้เกิดกรรม แต่การกระทำของผู้บรรลุธรรมให้ผลเหมือนการไม่ได้กระทำ (กรรม)
(แม้ว่าผู้หลอกลวงจะมิได้กระทำสิ่งใดภายนอก แต่ภายในของเขามีการกระทำอย่างมาก ; แต่ผู้บรรลุธรรมแม้จะกระทำสิ่งใดที่แสดงออกภายนอก แต่ภายในของเขามิได้กระทำอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเขามิได้ยึดติดกับร่างกายและความรู้สึกของเขา)
18.62
ผู้ที่หลอกลวง (ว่าบรรลุธรรม) มักจะไม่พอใจในสิ่งที่เขามี แต่ผู้ที่ได้ปล่อยวางร่างกายอันเคยรักของเขา, เขาจะไม่ยึดติดและไม่ชิงชัง
(ผู้ที่หลอกลวงมักจะไม่พอใจในสิ่งที่เขามี เพราะเขายังคงระบุตัวตนของเขาด้วยร่างกาย เพราะฉะนั้น เขาจึงยังยึดติดอยู่กับร่างกาย และ การครอบครองนั้นจะเกิดขึ้นคู่กับการยึดติด ; ดังนั้น ทั้งการยึดติดและการไม่พอใจในสิ่งที่มี เกิดขึ้นจากแนวคิดว่าตัวตนคือร่างกาย)
18.63
ผู้หลอกลวง (ว่าบรรลุธรรม) มีสติที่ยึดติดกับความ “คิด” และ “ไม่คิด”อยู่เสมอ แต่ผู้บรรลุธรรมนั้น แม้จะคิดในสิ่งที่คิดได้, ก็เป็นเพียงธรรมชาติของจิตไร้สำนึก (unconsciousness)
(เพราะผู้ยังไม่บรรลุธรรม เขาระบุตัวตนของเขาว่า จิตคือเครื่องมือของการคิด และคิดว่าวัตถุใดๆ นั้นคือสิ่งจริง แต่ผู้บรรลุธรรมนั้นเป็นอิสระจากอัตตา และรู้ว่าวัตถุนั้นไม่จริง, จิดสำนึกของเขาเป็นอิสระจากสิ่งคู่ สิ่งที่รู้ และการรู้ เขาดำรงอยู่ในสติบริสุทธิ์ คืออาตมัน)
18.64
ผู้บรรลุธรรม (ปราชญ์) ผู้เคลื่อนไหวเหมือนเด็กๆ เขาปราศจากแรงจูงใจในทุกสิ่งที่ปรากฏ เขาไม่ยึดติดแม้แต่งานที่เขาได้ทำไปแล้ว
18.65
ผู้ตรัสรู้ที่แท้จริงคือผู้ที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน แม้ว่าเขาจะเห็น, ได้ยิน, สัมผัส, ได้กลิ่น หรือ กิน เขาก็ปราศจากความสนใจ และ รู้สึก (เห็น) เท่าเทียมเสมอภาคกันในสภาวะทั้งหมด
18.66
ภาพสะท้อนของอาตมันคืออะไร? โลกคืออะไร? จุดจบอยู่หนใด? มันมีความหมายใดต่อผู้บรรลุธรรมซึ่งเป็นเหมือนท้องฟ้าอันไร้การเปลี่ยนแปลง?
(สำหรับผู้ตระหนักรู้ว่าอาตมันเป็นอนันต์หนึ่งเดียว เขาไม่ยอมรับการปรากฏของสิ่งอื่นใดอีก แม้แต่ภาพสะท้อนของอาตมัน ซึ่งหมายถึงตัวตนที่เฉพาะเจาะจงอันมีข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในจิตของบุคคลนั้น)
18.67
ผู้ตรัสรู้ (รู้แจ้ง) นั้นคือผู้ที่เป็นอิสระจากความปรารถนาทั้งปวง และทำให้เกิดบรมสุขอนันต์เป็นธรรมชาติของเขา เขาผู้นั้นมีธรรมชาติที่บรรลุสมาธิในทุกสภาวะ (มีสมาธิเป็นสันดานของเขา)
(ผู้รู้แจ้งไม่สร้างผลของการกระทำ (กรรม) ใดๆ ; เขาไม่มีแม้ความพยายามที่จะปล่อยวาง เพราะทุกสิ่งคือพรหมันสำหรับเขา
(การตระหนักถึงอาตมันโดยสมบูรณ์ จะก้าวข้ามข้อจำกัดทั้งหมด เขาจึงบรรลุสมาธิเป็นธรรมชาติในทุกสภาวะ)
18.68
กล่าวโดยย่อ, บุคคลผู้เข้าถึงบรมวิญญาณ (Great-Souled) คือผู้ประจักษ์ในสัจธรรม, เป็นอิสระจากความปรารถนาผัสสะที่รื่นรมย์, เป็นอิสระจากความปรารถนาที่จะหลุดพ้น และปราศจากการยึดติดตลอดทุกกาลเวลาและสถานที่
(ผู้ที่หลุดพ้นเป็นอิสระจากความปรารถนาที่จะหลุดพ้น เพราะเขารู้ว่าอาตมันนั้นเป็นอิสระอยู่แล้วตามธรรมชาติ)
18.69
ผู้มีพุทธิบริสุทธิ์ควรทำอย่างไรกับชีวิตส่วนที่เหลือ? ผู้ที่ปล่อยวางโลก ซึ่งเขาดำรงอยู่ในตอนเริ่มต้น และต่อมาโลกได้เหลือเพียงชื่อเรียก (เป็นเพียงปรากฏการณ์ไม่มีอยู่จริง)
(จักรวาลนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ปรากฏเพียงนาม และ รูป ซึ่งซ้อนทับอยู่บนอาตมัน, อาตมันแบ่งแยกไม่ได้และเป็นอนันต์)
18.70
ผู้บริสุทธิ์ (เป็นอิสระจากอวิชชา) ซึ่งรู้อย่างแน่นอนว่าผลผลิตของภาพลวงตานั้นไม่มีอยู่จริง, เขาได้ประจักษ์ในความลับที่ไม่เปิดเผย, เขาเป็นผู้ได้รับความรื่นรมย์ของความสงบตามธรรมชาติ
(อาตมันนั้นอยู่เหนือกว่าจิตและคำพูด มันไม่สามารถทำให้เป็นรูปธรรม อาตมันมิใช่สิ่งที่รู้ได้, แต่มันส่องสว่างด้วยตนเอง เพราะอาตมันมีการตระหนักรู้ด้วยตัวมันเอง จึงเรียกได้ว่าความลับที่ไม่อาจเปิดเผย)
18.71
กฎข้อบังคับ, การไร้อคติ, การปล่อยวาง และการข่มอารมณ์แห่งผัสสะ กฎต่างๆ เหล่านี้คืออะไรสำหรับผู้ที่มีพุทธิโดยธรรมชาติ และ ผู้ที่ปราศจากวัตถุประสงค์ใดๆ อย่างแท้จริง?
(ข้อกำหนดใดๆ ไม่มีความหมายสำหรับผู้บรรลุธรรมที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน เขาได้ก้าวข้ามพันธะซึ่งไม่มีอยู่จริง)
18.72
อะไรคือ พันธะ และ การหลุดพ้น?, อะไรคือ ยินดี และ เสียใจ? สำหรับผู้ที่สว่างไสวเป็นอนันต์และไม่รับรู้ต่อความสัมพันธ์ใดๆ ที่ปรากฏ
18.73
ตั้งแต่การปรากฏของโลก จนกระทั่ง ได้ตระหนักรู้ถึงอาตมัน, ผู้บรรลุธรรมจึงเห็นว่าโลกทั้งหมดเป็นเพียงมายา ผู้บรรลุธรรมดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความรู้สึก “ตัวฉัน”, “ของฉัน” และการยึดถือ
18.74
สำหรับปราชญ์ผู้ตระหนักรู้ถึงอาตมันว่าเป็นสิ่งยั่งยืนและไม่เป็นทุกข์, อะไรคือความรู้? อะไรคือจักรวาล? และ อะไรคือความรู้สึกว่า “ฉันคือร่างกาย” และ “ร่างกายเป็นของฉัน” ?
18.75
เมื่อผู้ที่มีพุทธิอันโง่เขลา ตกเป็นเหยื่อของความปรารถนาและจินตนาการ ไม่นานนัก เขาก็จะยกเลิกการบำเพ็ญเพียรเพื่อควบคุมจิต
ตามที่ได้กล่าวซ้ำๆ ว่าคนที่ตระหนักรู้ถึงอาตมันจะไม่มีความรู้สึกในสิ่งคู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ความพยายามทั้งหมดที่จะควบคุมผัสสะ (ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากอวิชชา) เป็นแนวคิดของคนที่มีอวิชชา, ผู้มีอวิชชายืนกรานว่าเขาเป็นบางสิ่งในมุมมองของสิ่งคู่, เขาปฏิบัติและควบคุมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พอทำได้, ในที่สุดเขาก็เลิกบำเพ็ญเพียร และถูกลากลงไปในหล่มของความปรารถนา
18.76
เมื่อผู้ที่มีพุทธิอันโง่เขลา ได้สดับฟังสัจธรรม, เขาก็ไม่สามารถเลิกการหลงผิด แม้จะปรากฏว่าเขาพยายามทำจิตให้ปราศจากการกระทำใดๆ แต่ยังคงมีความต้องการทางวัตถุแอบซ่อนอยู่
(ความหลงผิดจะหายไป เพราะการตระหนักรู้ถึงอาตมันเพียงเท่านั้น)
(ความปรารถนาจะหายไป เพราะการตระหนักรู้ถึงอาตมันเพียงเท่านั้น มิใช่โดยการกดทับมันไว้)
18.77
ผู้ที่ปล่อยวางการงานด้วยอรุณรุ่งของการตระหนักรู้ เขาจะไม่หาโอกาสที่จะทำหรือพูดสิ่งใด, แม้ว่าในสายตาของคนทั่วไปมองเห็นว่าเขากำลังทำงานอยู่
(ไร้การกระทำ (กรรม) อย่างแท้จริงนั้น มิใช่การหยุดกิจกรรม แต่คืออิสระของผู้กระทำจากความคิดในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบ)
18.78
สำหรับผู้รู้แจ้งซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลงและไร้ความกลัว, ไม่มีความมืด, ไม่มีความสว่าง, ไม่มีการไถ่ถอน, และไม่มีอะไรก็ตามแต่
(ความมืด ความสว่าง ฯลฯ นั้นเป็นไปได้เฉพาะในขอบเขตของสิ่งคู่ แต่ไม่มีอีกแล้วในความเป็นหนึ่งเดียวแห่งอาตมัน)
18.79
สำหรับผู้บรรลุธรรม (โยคี) ที่มิได้มีธรรมชาติเป็นคนธรรมดา และไม่สามารถนิยามได้, อะไรคือความหนักแน่นสม่ำเสมอ? อะไรคือการแบ่งแยก? และอะไรคือความไม่เกรงกลัว?
18.80
ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก หรือแม้แต่การหลุดพ้นในชีวิต กล่าวสั้นๆ คือ ไม่มีอะไรดำรงอยู่ในสติสัมปชัญญะของผู้บรรลุธรรม (โยคี)