บทที่ 18

ศานติ

อัษฏาวกระได้แสดงหนึ่งร้อยโศลกแห่งความไม่เป็นคู่อันบริสุทธิ์

ตอนที่ 3 – โศลกที่ 41-60

อัษฏาวกระ กล่าว :

18.41

ผู้ที่หลอกลวงว่าเขาพากเพียรเพื่อควบคุมจิต เขาจะควบคุมจิตได้อย่างไร? เพราะที่แท้จริงผู้บรรลุธรรมซึ่งตรัสรู้ภายในตนเองนั้น เขามีการควบคุมจิตเป็นธรรมชาติอยู่เสมอ

(การควบคุมจิตโดยสมบูรณ์ผลิบานขึ้นจากการปล่อยวางอย่างหมดสิ้น จากร่างกาย จิต และอื่นๆ เพราะฉะนั้น จงปฏิเสธทุกรูปแบบของกิจกรรมที่ตั้งเอกลักษณ์ของตัวเราไว้เป็นสมมุติฐานล่วงหน้า)

18.42

บางคนคิดไปว่า “ภาวะ” คือบุคคลอื่น, ที่ไม่มีอยู่จริง แต่ผู้บรรลุธรรม (ที่หาได้ยากยิ่ง) คือคนที่ไม่ได้คิดว่าภาวะเป็นบุคคลอื่นและมีเพียงความสงบเท่านั้น

(เมื่อบุคคลตระหนักรู้ถึงอาตมัน, เขาได้เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียว [Unity] เขาไม่คิดว่าสิ่งใดที่เป็นไปได้ เช่น ความจริงหรือความลวงของโลก เพราะฉะนั้น เขาจึงสงบและมีศานติอย่างสมบูรณ์)

18.43

ผู้ที่ขาดพุทธิ “คิด” ว่าอาตมันนั้นบริสุทธิ์และเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่เขาแค่หลอกลวงและมิได้รู้ถึงอาตมันอย่างแท้จริง, และเขาไม่มีความสุขตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

(เพราะ “ความคิด” ว่าอาตมันบริสุทธิ์, เป็นหนึ่งเดียว แสดงว่า อาตมันถูกรวมอยู่กับ ความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ หลากหลาย และสิ่งที่มิใช่อาตมัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสมบูรณ์ที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือความรู้แห่งการเปรียบเทียบเช่นนั้น)

18.44

พุทธิของผู้ใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อการหลุดพ้นนั้นไม่เป็นอิสระ, แต่พุทธิของผู้ที่หลุดพ้นอย่างแท้จริงนั้นขึ้นตรงต่ออาตมันอยู่เสมอ และเป็นอิสระจากความปรารถนา

(การใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อการหลุดพ้น เพราะนำความรู้ไปขึ้นอยู่กับวัตถุซึ่งเปรียบเทียบและไม่สมบูรณ์ [เป็นสิ่งคู่ตรงข้าม] ความรู้แห่งการเปรียบเทียบขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบ คือ ผู้รู้ สิ่งที่รู้ และการรู้  ; แต่ 3 สิ่งนี้จะหายไปในความรู้ที่สมบูรณ์)

18.45

การเห็นเสือแบบผัสสะวัตถุนั้นทำให้ตกใจกลัว, หาที่หลบภัย, และเข้าหลบในถ้ำทันทีเพื่อให้บรรลุถึง การควบคุมและเป้าหมาย

18.46

การเห็นราชสีห์ด้วยสายตาอันไร้ความปรารถนา (ของมนุษย์), ผัสสะที่เปรียบเหมือนช้างจะคุกเข่าลงและเมื่อช้างมันไม่สามารถกระทำสิ่งใด, มันจึงรับใช้ราชสีห์เหมือนคนประจบสอพลอ

(แนวคิดในกระบวนการและการนำเสนอโศลกนี้คือ : การยึดติดกับผัสสะ ทั้งที่เป็นวัตถุและที่ไม่ใช่วัตถุนั้น เป็นเหตุแห่งทุกข์ ทันทีที่ผู้นั้นเป็นอิสระจากการยึดติด, เขาอาจมิได้หันหลังให้กับโลก แม้เขาจะอยู่ท่ามกลางโลกแห่งวัตถุ, เขาก็สามารถอาศัยอยู่อย่างเป็นอิสระและมีความสุขอย่างไร้ผลกระทบใดๆ)

18.47

ผู้ที่เป็นอิสระจากความสงสัย และมีจิตเอิบอาบในอาตมัน, เขาไม่ต้องหันไปพึ่งวิธีการที่จะหลุดพ้น เขาเห็น, ได้ยิน, สัมผัส, ได้กลิ่น, กินและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

(ผู้บรรลุธรรม เห็น ได้ยิน สัมผัส ได้กลิ่น และกิน โดยที่เป็นเพียงปรากฏการณ์ [เขาเพียงแต่สังเกตการณ์], เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ทำหน้าที่เหล่านั้น)

18.48

เขาผู้ซึ่งมีจิตบริสุทธิ์เป็นอิสระจากความสับสน โดยเพียงการสดับฟังสัจธรรม เขาไม่เห็นความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ในการกระทำหรือไม่กระทำ

(เป็นกรณีที่หาได้ยากในการตระหนักรู้ถึงอาตมันจากการสดับฟังสัจธรรม กล่าวคือ [มันไม่เร็วเท่าการปฏิบัติสมาธิ]  ; คน (ที่ยังมีความปรารถนา) ที่มิได้บำเพ็ญเพียร จะมีจิตที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์โดยปฏิบัติคุณธรรม 4 ประการ ยกตัวอย่างเช่น การแยกระหว่างสิ่งที่จริงกับสิ่งที่ลวง เมื่อได้สดับฟังเกี่ยวกับธรรมชาติของอาตมัน แล้วเกิดสัจธรรมสาดส่องเหนือตัวเขา โดยที่เขาไม่ต้องบำเพ็ญเพียร)

(การบำเพ็ญเพียรมี  2 วิธี คือ การคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ [Realization Manana (reflection)] และ การนั่งบริกรรมสมาธิ [Nididhyasana (meditation)]

(ผู้บรรลุธรรมเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากอัตตาเพราะเขารู้ถึงอาตมัน เขาเพียงถูกนำทางไปโดยปรารภกรรมของเขาเท่านั้น กฎใดๆ ที่เป็นสื่อเชื่อมต่อด้วยศรัทธาล้วนไม่มีความหมายใดต่อเขา เขาจึงไม่เห็นความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ในการกระทำหรือไม่กระทำ)

18.49

ผู้ที่ไร้มารยา (ไร้เล่ห์เหลี่ยม, เป็นอิสระจากรักและเกลียด) เขาทำในสิ่งที่ต้องทำ, ไม่ว่าดีหรือเลว เพราะการกระทำของเขาเหมือนการกระทำของเด็กๆ

18.50

การเป็นอิสระจากการยึดติดและเกลียดชังอย่างแท้จริงนั้น ได้บรรลุความสุข, การเป็นอิสระอย่างแท้จริงนั้นได้บรรลุสิ่งสูงสุด (Supreme), การเป็นอิสระอย่างแท้จริงนั้นได้บรรลุศานติ และ การเป็นอิสระอย่างแท้จริงนั้นได้ไปสู่สภาวะสูงสุด (Highest State)

18.51

การปรุงแต่งของจิตทั้งหมดถูกทำลายลง เมื่อตระหนักรู้ว่าตัวเขาเองไม่ได้เป็นทั้งผู้กระทำหรือผู้รับผลของการกระทำนั้น

(ความรู้สึกที่ว่า “ฉันจะทำเช่นนั้น” หรือ  “ฉันจะได้สิ่งนั้น” มันเป็นการปรุงแต่งของจิต)

18.52

ด้วยการชักนำของผู้บรรลุธรรม แม้จะส่องสว่างอย่างที่มิอาจบดบัง, แต่ผู้โง่เขลาที่มีจิตอันยึดติดก็มิอาจสงบลงได้

18.53

ผู้บรรลุธรรมที่เป็นอิสระจากจินตนาการ, ไม่มีพันธะและไร้พุทธิที่ถูกพันธนาการโดยโซ่ตรวน (ของอัตตา) ; (บางครั้งเขา) เล่นสนุกท่ามกลางความรื่นรมย์ และ (บางครั้งเขา) ก็ปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำตามป่าเขา

18.54

แม้จะพบเห็นผู้สูงเกียรติประพันธ์บทเรียนที่อุทิศแด่พระเป็นเจ้า, พบเห็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์, พบเห็นหญิงสาว, กษัตริย์ หรือ ผู้เป็นที่รักยิ่ง ก็ไม่ก่อให้เกิดความปรารถนาใดขึ้นในใจของผู้บรรลุธรรม

(สิ่งใดๆ ที่ผู้บรรลุธรรมพบเห็น ไม่ก่อให้เกิดความปรารถนา เพราะเขาเห็นพระเป็นเจ้าในทุกสิ่ง และเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์)

18.55

ผู้บรรลุธรรม (โยคี) ไม่กังวลสิ่งใดเลย แม้ถูกเยาะเย้ย, เหยียดหยาม โดยบุคคลเช่น คนรับใช้, บุตร, ภรรยา, หลาน และ ญาติ

(ผู้รู้แจ้งไม่มีความกังวลแม้ถูกเยาะเย้ย เพราะเขาเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากความเกลียดชัง ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับจิตของเขา)

18.56

แม้การเอาอกเอาใจก็มิได้ทำให้ผู้บรรลุธรรมพึงพอใจ, แม้การทำร้ายจิตใจก็มิได้ทำให้เขาเจ็บปวด มีเพียงคนที่เป็นเหมือนเขา จึงจะเข้าใจในสภาวะอันน่าอัศจรรย์นี้

(ความพึงใจและเจ็บปวดคือการปรุงแต่งที่แตกต่างกันของจิต ซึ่งไม่เกิดขึ้นในจิตที่ปล่อยวางแล้ว เพราะฉะนั้น แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของผู้ตระหนักรู้จะดูเหมือนพึงพอใจและเจ็บปวด แต่ในความเป็นจริง มันมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา)

(เพราะการกระทำภายนอกของเขานั้นมิได้แตกต่างไปจากคนธรรมดา จึงมีเพียงคนที่บรรลุธรรมเหมือนกันที่จะเข้าใจสภาวะนี้)

18.57

ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่, แท้จริงคือพันธะของโลก ผู้บรรลุธรรมอยู่เหนือกว่านั้น มันคือความว่างเปล่า, ไร้รูปแบบ, ไร้การเปลี่ยนแปลง และ ไร้มลทิน

(ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่เกิดจากการยึดติดกับวัตถุทางโลก ที่เกิดความรับผิดชอบและผูกพันธะมากขึ้นเรื่อยๆ กับโลกนี้, และด้วยความรู้สึกนี้มันสั่งให้เราเกิดแล้วเกิดอีก)

18.58

ผู้มีพุทธิอันโง่เขลา แม้จะพยายามทำหลากหลายประการ เขาก็ยังคงปั่นป่วนด้วยความสับสน แต่ผู้มีทักษะ แม้กำลังกระทำหน้าที่เขาก็มิได้กังวลสิ่งใดเลย

(ผู้บรรลุธรรมไม่กังวลแม้กระทำหน้าที่ เพราะเขาพ้นแล้วจากอัตตา มีจิตสงบและมีศานติอยู่เสมอ แม้จะอยู่ท่ามกลางกิจกรรมต่างๆ)

18.59

ผู้บรรลุธรรม นั่ง, หลับ, เคลื่อนไหว, พูด และ กิน อย่างเป็นสุขเท่าเทียมกันตลอดในการใช้ชีวิต

18.60

ผู้บรรลุธรรม, แม้กำลังดำเนินชีวิต, เขามิได้ครอบครองเอกลักษณ์ของตัวเขาเอง, เขาไม่รู้สึกกังวล ทุกข์ หรือยุ่งยากเหมือนคนทั่วไป, เขาไม่ปั่นป่วนยุ่งเหยิง, เขาเหมือนทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาล เพราะความทุกข์ทั้งหมดได้จากเขาไปแล้ว

Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava

Get carried away?

ความรู้เรื่องอัชฌตวกระคีตาเพิ่มเติม

บทก่อนหน้า

previous

กลับไปสารบัญ

index

บทถัดไป

next