บทที่ 15

ความรู้แห่งอาตมัน

แม้จะน่าประทับใจแต่การสอนยังไม่ตลอดรอดฝั่ง อัษฏาวกระได้ชี้ให้เห็นถึงความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ของอาตมัน

อัษฏาวกระ กล่าว :

15.1

ผู้มีพุทธิบริสุทธิ์สามารถบรรลุจุดหมายปลายทางได้ แม้ได้รับคำสอนอย่างไม่จริงจัง (ไม่ได้ตั้งใจ) ในขณะที่ผู้อื่นนั้นงุนงงอย่างที่สุดต่อการตระหนักรู้ถึงอาตมัน แม้เขาจะสอบถามเพื่อให้รู้ถึงพรหมัน (อาตมัน) ตลอดทั้งชีวิต

(ผู้มีพุทธิบริสุทธิ์ – ความรู้ในอาตมันจะส่องสว่างขึ้นทันทีทันใดเมื่อพุทธิของเขาบริสุทธิ์ เขาผู้ผ่านการฝึกฝนบางประการ (อันจำเป็น) และเป็นผู้ที่อุทิศตนให้กับสี่คุณลักษณะที่จำเป็นต่อการแสวงหาความรู้ [ดูคำอธิบายเพิ่มเติมท้ายบทที่ 1 – การปล่อยวาง] คำว่า “บริสุทธิ์” ชี้ให้เห็นว่า พุทธิ ถูกทำให้เป็นอิสระจาก รชะ ตมะ และเต็มไปด้วยสัตตวะ)

(บรรลุจุดหมายปลายทาง หมายถึง ได้ตระหนักรู้ถึง “อาตมัน”)

(การได้รับคำสอนอย่างไม่จริงจัง (ไม่ได้ตั้งใจ) หมายถึง เมื่อใดก็ตาม อะไรก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับอาตมันที่คุรุได้สอน ด้วยคำแนะนำเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับศิษย์ที่เหมาะสม)

(ผู้อื่น ในที่นี้หมายถึง ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติอันเหมาะสม และมิได้กำจัด รชะ และ ตมะ)

(งุนงงอย่างที่สุด เพราะผู้ที่มีความปรารถนา ไร้คุณสมบัติอันเหมาะสม จะเข้าใจผิดในเรื่องธรรมชาติของอาตมัน เฉพาะพุทธิอันบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจได้)

15.2

วัตถุแห่งอารมณ์นั้นชิงชังการหลุดพ้น ; ความรักต่อวัตถุแห่งอารมณ์คือพันธะ นี้คือความรู้ที่แท้จริง บัดนี้ จงทำตามที่ท่านพึงพอใจ

(อัษฏาวกระอธิบายเนื้อแท้แห่งธรรมชาติของพันธะและการหลุดพ้นอย่างรวบรัด และชี้ให้เห็นหน้าที่เพียงอย่างเดียวที่พึงแสวงหา)

15.3

ความรู้อันเป็นสัจธรรมทำให้ ผู้มีวาทะศิลป์ ฉลาด และกระฉับกระเฉง พลันเงียบ และเฉื่อยชา ดังนั้น ผู้ที่สนุกสนานอยู่กับมายาจึงหลีกเลี่ยงสัจธรรมนี้

(ทำให้เงียบงัน – โศลกนี้ไม่อาจตีความหมายตรงตามตัวอักษร เพราะการสนทนา ความรู้ และกิจกรรม นั้นบรรลุได้โดยการมองเห็น แต่ผู้ที่ตระหนักรู้ถึงอาตมันว่าเป็นหนึ่งเดียวและเป็นทั้งหมด ก็ไม่มีสิ่งใดจะต้องบรรลุอีก ดังนั้นการสนทนา ความรู้และการกระทำจึงสิ้นสุดลง และแล้ว จึงปรากฏความเงียบและความเฉื่อยชา นี่คือสัญญาณของการตระหนักรู้ขั้นสูงสุด มีเพียงความเงียบภายนอกและความเฉื่อยชาที่ว่างเปล่า สิ่งเหล่านี้เป็นผลลัพธ์ของการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้ง)

(ผู้ที่สนุกสนานอยู่กับมายาหลีกเลี่ยงสัจธรรม เพราะ ความหรรษาแบบโลกหรือแบบสวรรค์นั้น ไม่เกิดขึ้นในภาวะของจิตวิญญาณขั้นสูง จิตใจของบุคคลแห่งโลกมายานั้นอยู่กันตรงข้ามกับจิตใจของผู้ตระหนักรู้ในอาตมันอย่างเด็ดขาด)

15.4

ท่านมิใช่ร่างกายและร่างกายมิใช่ของท่าน ท่านมิได้เป็นผู้กระทำและท่านมิได้เพลิดเพลินกับการกระทำนั้น ท่านคือพุทธิในตัวเอง, เป็นประจักษ์พยานและเป็นอิสระนิรันดร์ จงไปอย่างมีความสุข

15.5

ความผูกพันและความชิงชังเป็นคุณสมบัติของจิต จิตไม่เคยเป็นของท่าน ท่านเป็นอิสระจากความขัดแย้ง, เป็นพุทธิของตัวเอง และ ไร้การเปลี่ยนแปลง จงไปอย่างมีความสุข

(ผู้แสวงหาไม่ควรทั้งรักและเกลียด การทำเช่นนั้นคือการแบ่งแยกตัวตนด้วยจิต และสูญเสียการตระหนักถึงอาตมันที่แท้จริง ความรักในที่นี้เป็นเฉพาะความรักที่แคบและเห็นแก่ตัว มิได้หมายถึงความรักของจักรวาลอันเติบโตจากความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับอาตมันนิรันดร์เท่านั้น)

15.6

จงตระหนักรู้ว่าอาตมันคือทั้งหมด และทั้งหมดคืออาตมัน เป็นอิสระจาก “ตัวตน” (egoism) และเป็นอิสระจากความรู้สึกว่า “ของตน” (mine), จงเป็นสุข

(เมื่อบุคคลตระหนักรู้ถึงอาตมัน, เขารู้สึกจริงๆ ว่าเขาคือแก่นแท้ เป็นความจริงของสรรพสิ่ง และทุกสิ่งทั้งหมดอยู่ในเขา สติปัจจุบันของเรามีข้อจำกัดของตัวเราเอง และ มีการแบ่งแยกสิ่งมีชีวิตและสิ่งอื่น ตามเอกลักษณ์ด้วย “จิต” ของเรา เป็นการแบ่งแยกตามประเภท เวลา สถานที่ และเหตุปัจจัย ซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย การไม่แยกแยะสิ่งต่างๆ ตามเอกลักษณ์ด้วยจิตของท่าน, รูปแบบเหล่านั้นก็จะมลายหายไปและคงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว [อาตมัน] ซึ่งคือตัวท่านและจักรวาลทั้งหมด)

15.7

ท่านคือพุทธิ, แท้จริงแล้ว ท่านคือจักรวาลที่เปิดเผยตัวตนให้เห็นว่าเป็นเช่นคลื่นของมหาสมุทร จงเป็นอิสระจากความคลั่งไคล้

(จักรวาลเหมือนกับอาตมัน)

(จงเป็นอิสระ ในที่นี้หมายถึง เมื่อบุคคลได้ตระหนักว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล เขาไม่ปรารถนาในความเพลิดเพลินหรือพัวพันกับปัญหานั้นอีก)

(ความคลั่งไคล้ ในที่นี้หมายถึง ความคลั่งไคล้ในทางโลก คือปรารถนาในความเพลิดเพลินแบบหยาบช้าและละเอียดอ่อน, ความกลัว และความหลงในสิ่งเหล่านั้น ความซับซ้อนทั้งหมดก่อเกิดขึ้นจากอวิชชาที่ครอบคลุมธรรมชาติที่แท้จริงของจักรวาล)

15.8

จงมีศรัทธา, บุตร, จงศรัทธา จงอย่าหลอกลวงตัวของท่านเองในสิ่งนี้ ท่านคือความรู้ของตัวเอง, ท่านคือพระผู้เป็นเจ้า, ท่านคืออาตมัน และท่านคือผู้เป็นเลิศแห่งธรรมชาติ

(อัษฏาวกระกำลังประทับใจในธรรมชาติอันแท้จริงของอาตมันที่ปรากฏในจิตของศิษย์)

(อย่าหลอกลวงตัวท่านเอง – จนกว่าบุคคลจะตระหนักรู้ถึงอาตมันอย่างแท้จริง เขาพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่า “อาตมัน” นั้นเป็นอะไรที่คุรุได้อธิบาย และนั่นหมายถึงโดยแท้จริงแล้วจักรวาลมิได้เป็นสิ่งใดเลย)

(ท่านคือผู้เป็นเลิศแห่งธรรมชาติ – ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากธรรมชาติและควบคุมมัน)

15.9

ร่างกายและอวัยวะที่รับสัมผัสนั้น เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป อาตมันนั้นทั้งไม่เกิดและไม่ดับ แล้วเหตุใดท่านจึงอาลัยอาวรณ์กับมัน?

(อาตมันทั้งไม่เกิดและไม่ดับ – เหนือกว่าร่างกายและไม่มีส่วนร่วมกับร่างกายตามธรรมชาติ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง แต่อาตมันไม่เปลี่ยนแปลง)

(อาลัยอาวรณ์กับมัน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น ความตาย)

15.10

จะปล่อยให้ร่างกายสิ้นลงเมื่อสิ้นสุดกัลป (รอบ) หรือจะปลดปล่อยมันไปเสียบัดนี้ มีที่ใดที่จะเพิ่มหรือลดสำหรับท่านผู้ซึ่งเป็นพุทธิบริสุทธิ์?

(กัลป หรือ กัป คือ อายุของโลกตั้งแต่เมื่อพระพรหมสร้างเสร็จจนถึงเวลาที่ไฟประลัยกัลป์มาล้างโลก ซึ่งได้แก่ช่วงเวลากลางวัน วันหนึ่งของพระพรหม คือ 1,000 มหายุค เท่ากับ 4,320,000,000 ปีมนุษย์)

(ที่ใดที่จะเพิ่มหรือลดเวลาของร่างกาย? หมายถึง สภาพของร่างกายไม่แตกต่างแม้แต่น้อยจากอาตมัน เพราะฉะนั้น จงอย่างกลัวความตาย)

15.11

ปล่อยให้คลื่นของจักรวาลก่อตัวขึ้น และซัดลงด้วยความกลมกลืนของตัวมันเอง ภายในท่านซึ่งเป็นมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต นั่นหมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่ท่านจะได้รับหรือสูญเสีย

(ในโศลกก่อน, ได้เทศนาอย่างสมบูรณ์ ถึงการไม่แยกแยะร่างกาย [dis-identification with the body] และการเปลี่ยนแปลง ในโศลกนี้, จะกล่าวถึง การกำหนดมิให้แยกแยะจักรวาล [dis-identification with the universe])

(ความกลมกลืนตัวของมันเอง – จักรวาลนั้นไม่มีวันสิ้นสุด เกิดการสร้างไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลา จนกว่าจะสูญสลาย แต่ก็มิได้ส่งผลใดกับอาตมัน อาตมันอยู่เหนือกาลเวลาและเหตุปัจจัยต่างๆ การสร้างและการสูญสลายเป็นไปตามเวลา เราต้องไม่คิดว่าตัวเราเองเป็นเช่นสิ่งมีชีวิต, แต่อยู่เหนือกว่าและก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้น)

(ไม่มีสิ่งใดที่ได้รับหรือสูญเสีย – เฉกเช่นคลื่นที่ก่อตัวขึ้น มิได้เพิ่มสิ่งใดให้มหาสมุทร หรือเมื่อมันทรุดตัวลง ก็มิได้นำสิ่งใดออกไปจากมหาสมุทร ดังนั้นการสร้างของจักรวาลซึ่งแท้จริงแล้วเหมือนกับอาตมัน, จึงมิได้เพิ่มสิ่งใดให้กับอาตมัน และไม่ได้นำสิ่งใดไปเมื่อสูญสลาย)

15.12

บุตร, ท่านคือพุทธิบริสุทธิ์ของตัวเอง จักรวาลนี้มิได้แตกต่างไปจากท่าน เพราะฉะนั้น ใครจะยอมรับหรือปฏิเสธ? และ เขาจะทำได้ที่ไหน และเช่นไร?

(จักรวาลมิได้แตกต่างไปจากท่าน – เมื่อเราพยายามไล่จับความจริงของจักรวาล, เราพบว่ามันคือตัวเราเอง, ซึ่งคือพุทธิบริสุทธิ์ของตัวเอง)

(เพราะฉะนั้นใครจะยอมรับหรือปฏิเสธ – ถ้าเรารู้ว่าจักรวาลคือพุทธิบริสุทธิ์และเช่นเดียวกับตัวเรา, แล้วการแบ่งแยกว่า ดีและเลว ก็ไม่เกิดขึ้น มีเพียง “ข้าพเจ้า” ที่ปรากฏ ข้าพเจ้าไม่สามารถยอมรับหรือปฏิเสธตนเอง ไม่มีเครื่องมือสำหรับวัด “จิต” เพื่อการยอมรับหรือปฏิเสธจิตนั้น และไม่มีสถานที่หรือความจริงใดภายนอกข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าสามารถยอมรับหรือปฏิเสธ)

(การยอมรับ – ทัศนคติที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นไปได้เมื่อเราตระหนักรู้ว่าจักรวาลเป็นเช่นเดียวกับอาตมัน เราจำเป็นจะต้องแบ่งแยกดีชั่ว ตราบเท่าที่เห็นเพียงปรากฏการณ์, อัษฏาวกระ กระตุ้นให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดในปัจจุบันและเปลี่ยนมุมมองเสีย)

15.13

การกำเนิด หรือแม้แต่อัตตา จะเกิดขึ้นจากที่ไหน สำหรับท่านผู้ชาญฉลาด ไม่เปลี่ยนแปลง สงบ และเป็นที่ว่าง (space) ของพุทธิบริสุทธิ์?

(การกำเนิดอยู่ที่ไหน? – ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในตนเองและไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่สามารถกำเนิดได้)

(การกำเนิด – แทนการเปลี่ยนแปลงและความปรารถนาเพื่อให้ได้บางสิ่งที่ยังมิได้ครอบครอง แต่บุคคลที่ตระหนักรู้ว่าตัวเขาคืออาตมันนั้น สงบและสมบูรณ์)

(อัตตาเกิดขึ้นที่ไหน? – เขาไม่มีความรู้สึกใดที่เป็นอัตตา เพราะมันเป็นผลมาจากการแบ่งแยกตัวเราออกเป็นกายและจิต แต่เขารับรู้ว่าตัวเขาเป็น “ที่ว่างของพุทธิ” (space of intelligence) ที่ซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งคู่ตรงกันข้ามหรืออื่นๆ, เขาคือผู้บริสุทธิ์)

(ที่ว่าง [space] ในที่นี้เหมือนกับจิต จิตถูกนึกว่าเป็นอากาศธาตุ เพราะ มีความเหมือนกัน คือ แผ่ซ่านไปทั่ว ไม่ได้รับผลกระทบ และต้องการองค์ประกอบพิเศษในการรับรู้ เช่นเดียวกัน อากาศ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทต่างๆ คือ ที่ว่างภายนอก หรือ อากาศภายนอก (Mahakasha or external field) เป็นที่ว่างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ว่างทั่วไปที่เรารับรู้ได้เหมือนวัตถุภายนอกอื่นๆ ; ที่ว่างภายใน (Chittakasha or field of mind) เป็นที่ว่างแห่งจิต เรารับรู้ทุกสิ่งที่เราจินตนาการ ฝัน และ สัมผัสพิเศษในที่ว่างแห่งจิตนี้ (mental space) และ ที่ว่างแห่งสติ (Chidakasha or field of pure consciousness) คือที่ว่างแห่งพุทธิ เป็นที่ซึ่งอาตมันรับรู้ตัวมันเอง ในที่นี้ไม่มีความแตกต่างระหว่าง ผู้รับรู้ และ การรับรู้ ณ ที่ว่างนี้ทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เช่นนั้นแล้ว ที่ว่างนี้เหมือนกันกับอาตมันทุกประการ (identical) พูดจริงๆ, การรับรู้อาตมันไม่มีที่ว่าง, แต่คำว่า “ที่ว่าง” (space) ใช้ขยายความคล้ายคลึงกันของการรับรู้ กับ การรับรู้อาตมัน)

15.14

สิ่งใดก็ตามที่ท่านรับรู้ ก็จะปรากฏเพียงสิ่งนั้น ถามว่ากำไลข้อมือ, กำไลแขน และ กำไลข้อเท้า แตกต่างจากทองคำหรือไม่?

(อไวทะ เวทานตะ [Advaita Vedanta] ถือว่าอาตมันเท่านั้นที่เป็นจริง และจักรวาลไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากอาตมัน มีการตั้งชื่อ และ รูปแบบ ซ้อนเพิ่มขึ้นบนอาตมันนั้น ดังเช่น ความจริงมีเพียงทองคำฉันใด, จักรวาลก็มิได้แตกต่างไปจากอาตมัน ฉันนั้น, มีเพียงอาตมันเท่านั้นที่มีอยู่จริง)

15.15

จงล้มเลิกการแบ่งแยกเหล่านี้ให้หมดสิ้น “ข้าพเจ้าคือเขา” (อาตมันอันสูงส่ง) และ “ข้าพเจ้าไม่ใช่สิ่งนั้น” (จักรวาล) 

จงพิจารณาว่าทุกสิ่ง (ทั้งความสูงส่งและการเปรียบเทียบในความเป็นจริง) คืออาตมัน ไร้ความปรารถนา และจงเป็นสุข

15.16

เป็นความจริงแท้ที่ว่าจักรวาลนั้นมีอยู่เมื่อท่านมองผ่านอวิชชา ในความจริงมีท่านเพียงลำพัง ไม่มี ศิวะ หรือ อิศวร ที่นอกเหนือไปจากท่าน

(ตราบใดที่ยังมีจักรวาล เราต้องเข้าใจอาตมันเป็นสองมุมมอง

หนึ่ง. คือสังสารวัฏที่เปลี่ยนแปลงโยกย้ายได้ (ศิวะ เกิดจนตาย และตายจนเกิด อยู่ในสังสารวัฏ) และ

อีกมุมมองหนึ่ง. คือ อสังสารวัฏ (พระเป็นเจ้าอยู่เหนือการเวียนว่ายตายเกิด เป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง)

แต่เมื่อไม่มีจักรวาล หรือจักรวาลไม่ต่างไปจากอาตมัน, การแบ่งแยกก็หายไป แนวคิดอันแตกต่างนี้กล่าวได้ว่า มันปรากฏในอวิชชาของเรา เมื่อเรากำจัดอวิชชา, แนวคิดที่ว่าจักรวาลแตกต่างจากเราก็หายไปในทันที ดังนั้นในความเป็นจริงก็คือ “ท่านอยู่ตามลำพัง”)

15.17

ผู้ที่รู้อย่างแน่นอนว่าจักรวาลเป็นภาพลวงตาและไม่มีสิ่งใด เขาไร้ความปรารถนา และ มีพุทธิบริสุทธิ์ และพบศานติ เพราะไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

15.18

ในมหาสมุทรของโลกมีเพียงอาตมัน เคยมี กำลังมี และ จะมีเพียงเท่านั้น ท่านมิได้มีพันธะ อีกทั้งมิได้หลุดพ้น จงอยู่อย่างอิ่มเอมใจและเป็นสุข

(พันธะหรืออิสระ ไม่สามารถระบุไว้ในอาตมัน ซึ่งเป็นหนึ่งเดียว อยู่ตามลำพังตลอดกาล)

(อิ่มเอมใจ – ผู้ซึ่งเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมด, เพราะฉะนั้น จึงไร้ความปรารถนา)

15.19

ท่านคือพุทธิบริสุทธิ์, จงอย่ารบกวนจิตของท่านด้วยการยืนยันและปฏิเสธ จงสงบและเป็นสุขในตัวของท่านเอง ซึ่งนั่นก็คือความสุข

15.20

จงล้มเลิกการไตร่ตรองและสิ่งอื่นใดในจิตของท่านให้หมดสิ้น ท่านคืออาตมันจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง ท่านจะทำอะไรได้โดยการคิด?

(ทำอะไรได้โดยการคิด? การเป็นอาตมันด้วยตนเอง และดังนั้นท่านจึงเป็นอิสระนิรันดร์ ท่านไม่ต้องการคิดถึงสิ่งใดอีก ทั้งการบรรลุอิสระและการได้รับวัตถุโลกีย์)

อัษฏาวกระแนะนำการแสวงหาเพื่อที่จะอาศัยอยู่ในสติของอาตมันนิรันดร์ (consciousness of eternal self)

Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava

Get carried away?

ความรู้เรื่องอัชฌตวกระคีตาเพิ่มเติม

บทก่อนหน้า

previous

กลับไปสารบัญ

index

บทถัดไป

next

คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบทนี้

สรรพสิ่งมีลักษณะ 3 ประการ  (ไตรคุณ) คือ

  1. สัตตวะ อันปราศจากมลทิน ประกายแสงเจิดจรัส และเป็นอนามัย ทำให้จิตวิญญาณผูกพันการยึดมั่นในความสุข รวมทั้งการยึดมั่นในญาณ
  2. รชะ เป็นภาวะของราคะ เกิดขึ้นจากตัณหาและการยึดมั่น อันเห็นพันธนาการให้บุคคลยึดมั่นอยู่ในกรรม
  3. ตมะ เกิดขึ้นจากอวิชชา อันล่อลวงบุคคลทั้งหลายให้ลุ่มหลง อันเป็นพันธนาการให้ประมาท เกียจคร้าน และหลับไหล

เมื่อประกายแห่งญาณ เจิดจรัสในทุกทวารของเทหะนั้น เมื่อนั้นแลควรรู้ว่า สัตตวะ ย่อมมีฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น

[จากภควัทคีตา บทที่ 14 โยคะแห่งวิภาคของไตรคุณ โศลก 14.5 – 14.8 และ 14.11 ฉบับที่ปริวัตร โดย อาจารย์เกียรติขจร ไชยเธียร]