บทที่ 16

คำแนะนำพิเศษ

อัษฏาวกระชี้โทษของความพยายามอันไร้ประโยชน์ของความรู้

อัษฏาวกระ กล่าว :

16.1

บุตรเอ๋ย ท่านอาจเคยกล่าวถึง หรือได้ยินจากคัมภีร์หลากหลายอยู่บ่อยครั้ง แต่ท่านไม่อาจตั้งตนอยู่ในอาตมันได้ ถ้าท่านไม่ลืมมันไปให้หมดเสียก่อน

(ประเด็นสำคัญของ อไวทะ-เวทานตะ [Advaita Vedanta] คือ มีเพียงอาตมันเท่านั้นที่ดำรงอยู่, สิ่งอื่นทั้งหมดนั้นผิดและไม่จริง ความไม่จริงหมายถึงจักรวาลอันหลากหลายนี้ผูกมัดจิตของเราอยู่เสมอ  จึงทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความรู้ของอาตมัน การที่บุคคลจะตั้งตนในอาตมันของเขาได้อย่างสมบูรณ์นั้น เขาจะต้องย้อนสภาวะเหล่านั้นกลับไป (reverse)

(กล่าวถึงหรือได้ยิน – ศรุติ [การได้ยินได้ฟังเสียงทิพย์] คำกล่าวซ้ำๆ ว่า “อาตมันนั้นไม่อาจตระหนักรู้ได้ด้วยพลังของคำพูด, ด้วยสติปัญญาที่มากมาย หรือด้วยการศึกษาพระเวท [Vedas]” นั่นหมายถึง การตระหนักรู้ถึงอาตมันต้องใช้ประสบการณ์จริงโดยการปฏิบัติ มิใช่เพียงปัญญาความรู้)

(การตั้งตนอยู่ในอาตมัน [established] – เมื่อเราตระหนักรู้ถึงอาตมันและไม่มีสิ่งอื่น ในสภาวะนี้ เรามิได้อยู่ในตัวเรา เราเป็นเพียงสติ [การรับรู้] ของกาย, จิต และสิ่งอื่นๆ ของโลก อะไรก็ตามที่เราตะหนักถึง เราก็คือสิ่งนั้น

(ลืมมันไปให้หมดเสียก่อน – บุคคลจะต้องตระหนักรู้ถึงอาตมันเพียงสิ่งเดียว และรับรู้ว่าสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากอาตมันนั้นไม่มี สภาวะนี้จะบรรลุได้โดยการทำลายอวิชชา ซึ่งอวิชชานั้นเป็นสาเหตุของจักรวาลอันหลากหลาย แต่มิได้หมายถึงภาวะการหลับลึกหรือภาวะอื่นที่คล้ายๆกัน ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นและทำให้หลงลืมทุกสิ่ง)

16.2

โอ้! ปราชญ์ผู้มีปัญญา ท่านอาจสนุกสนาน ทำงาน หรือฝึกสมาธิ แต่จิตของท่านยังคงกระหายต่อสภาวะที่ข้ามพ้นวัตถุทั้งปวง และความปรารถนาทุกประการถูกดับลง

(สนุกสนาน ทำงาน หรือ ฝึกสมาธิ – การกระทำเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องของผู้ที่ยังไม่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน)

(จิตยังคงกระหาย – จิตไม่สามารถมีสภาวะพึงพอใจสูงสุดในความสนุกสนาน การทำงาน หรือ ฝึกสมาธิ)

(สภาวะที่ข้ามพ้นวัตถุและความปรารถนา – หมายถึงอาตมัน ซึ่งอยู่เหนือการค้นหาใดๆ ในชีวิตและจิตใจ)

(ในที่ซึ่งความปรารถนาดับมอด – เพราะฉะนั้น จนกว่าความปรารถนาจะถูกทำลาย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตระหนักรู้ถึงอาตมัน สภาวะของการตระหนักรู้ถึงอาตมันจะไม่เกิดขึ้นถ้ามีความปรารถนาใดก็ตามปรากฏขึ้นในจิต)

16.3

ผู้คนทั้งหลายไม่มีความสุขเพราะเขาต้องลงทุนลงแรง, แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ที่แท้จริง ผู้บรรลุธรรมได้รับการปลดปล่อยผ่านคำแนะนำ

(ไม่มีความสุข อธิบายได้ว่า เพราะเขาต้องลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้สิ่งอันปรารถนาที่ยังมิได้ครอบครอง ความปรารถนานั้น มีทั้งที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ, คือสาเหตุแห่งทุกข์ เมื่อความปรารถนาในสิ่งอันพึงพอใจถูกเติมเต็ม ก็จะเกิดความอิ่มเอมในเบื้องต้นและหลังจากนั้นความปรารถนาก็จะเพิ่มพูนขึ้นและก่อให้เกิดลูกโซ่ของความปรารถนาที่ต่อเนื่องไปอีก, ส่วนการไม่มีความสุขเนื่องจากสิ่งอันไม่พึงปรารถนานั้นชัดเจนจึงไม่ต้องอธิบายอีก)

(ผ่านคำแนะนำ – คำแนะนำนี้เพียงพอสำหรับการดำเนินชีวิต กล่าวได้ว่า ความสงบภายในจะผลิบานในผู้ที่กำจัดความปรารถนาได้หมดสิ้น และได้ตระหนักรู้ในอาตมัน อย่างไรก็ตาม, การแสดงออกของเขาอาจจะดูกระตือรือล้นหรือไม่ก็ได้ เขาไม่มีความปรารถนาจากภายในที่จะผูกพันตัวเขากับหน้าที่ใดๆ ในทุกกรณี)

16.4

ความสุขเป็นของผู้ที่ว่างอย่างยิ่ง (master idler) ไม่เป็นของผู้อื่น, เขาคือผู้ที่รู้สึกลำบากแม้แต่การปิดหรือเปิดเปลือกตา

(ผู้ที่ว่างอย่างยิ่ง [master idler] คือผู้ที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน, ผู้ซึ่งไม่กระตือรือร้นอย่างสมบูรณ์ นั่นคือผู้ที่เป็นกลางและไม่ยึดติดอยู่กับการทำการงาน)

(แม้แต่การปิดหรือเปิดเปลือกตา – นี่คือการสมมุติล่วงหน้า สำหรับผู้ที่ตระหนักรู้ถึงอาตมัน เขารู้สึกได้ด้วยสติสัมปชัญญะของร่างกาย แม้แต่สิ่งเล็กน้อย ว่าเป็นข้อจำกัดและเป็นความเจ็บปวด)

(ไม่เป็นของผู้อื่น – เพราะผู้ที่ว่างอย่างยิ่งนั้น ต้องปล่อยวางจากร่างกายและจิตอย่างสมบูรณ์จึงจะมีความสุขที่แท้จริง)

16.5

เมื่อจิตเป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้าม เช่น “หน้าที่ที่ทำไปแล้ว” และ “หน้าที่ที่ยังไม่ได้ทำ”, มันจึงเป็นกลาง ไม่เห็นความแตกต่าง ระหว่าง การทำบุญ (ทางศาสนา), ความมั่งคั่ง (ในทางโลก), ความรื่นรมย์ (ในรสสัมผัส) และ การหลุดพ้น

(ไม่แบ่งแยก – ผู้ซึ่งก้าวข้ามหน้าที่ทั้งปวง ไม่สนใจต่อ “เป้าหมายทั้งสี่” [ปุรุษารถะ คือ กาม อรรถ ธรรม และ โมกษะ] ความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่นั้นเกิดขึ้นจากความปรารถนา เมื่อไม่มีความปรารถนาก็จะไม่มีหน้าที่ และเป้าหมายทั้งสี่ก็หมดความหมาย แม้แต่การหลุดพ้นก็มิใช่เป้าหมายอันปรารถนาของผู้ซึ่งได้บรรลุความรู้ที่แท้จริง)

16.6

ผู้ซึ่งชิงชังวัตถุแห่งรสสัมผัส จะไม่เป็นผู้ยึดติด, และผู้ที่ละโมบในวัตถุแห่งสัมผัส จะยึดติดกับมัน, แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ คือผู้ที่ไม่ทั้งสองประการข้างต้น

(ไม่ยึดติดจากการชิงชังวัตถุแห่งรสสัมผัส – ดังนั้นเขาจึงปล่อยวาง, ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงนี้ แสดงให้เห็นว่าเขานั้นยังไม่ตระหนักถึงอาตมันอย่างแท้จริง)

(ผู้ที่ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ – เป็นภาวะที่สูงกว่าในการตระหนักถึงอาตมัน ไม่มีความคิดที่จะยอมรับหรือปฏิเสธสิ่งใด)

16.7

ความปรารถนานั้นเป็นที่พำนักของสภาวะในการแบ่งแยก, ตราบเท่าที่ความปรารถนายังคงอยู่ ,แท้จริงแล้วจะยังมีความรู้สึกของการยึดติดและการเกลียดชัง ซึ่งเป็นกิ่งก้านสาขา และเป็นต้นกล้าของ (ต้นไม้แห่ง) สังสารวัฏ

(ความปรารถนาเป็นที่พำนักของความรู้สึกแบ่งแยก – ความปรารถนาจะปล้นเอากำลังของความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริง มันทำให้เราพิจารณาสิ่งลวงว่าเป็นจริง และพิจารณาสิ่งที่เป็นจริงว่าเป็นสิ่งลวง เมื่อสิ้นความปรารถนา ทุกสิ่งจะปรากฏต่อเราตามความเป็นจริง)

(การยึดติดและการเกลียดชัง – เนื่องจากยังมีความต้องการสิ่งหนึ่ง และปฏิเสธสิ่งอื่นๆ)

(เป็นกิ่งก้านสาขา และเป็นต้นกล้าของ (ต้นไม้แห่ง) สังสารวัฏ – ลำต้นและรากของสังสารวัฏ [ปรากฏการณ์ชีวิตที่มีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเกี่ยวพันกัน] คืออวิชชา ความปรารถนาทำให้เราต้องการสิ่งหนึ่งและปฏิเสธสิ่งอื่นๆ คือ เปรียบเทียบได้กับกิ่งก้าน และต้นกล้าที่ทำให้ต้นไม้นั้นเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้น ความปรารถนาสิ่งหนึ่ง นำไปสู่ความปรารถนาสิ่งอื่นๆ ดังนั้นแล้ว กาม เติบโต ซับซ้อนและนำเราให้ไปเกิดจนตาย และจากตายไปจนเกิด)

16.8

การกระทำโดยรู้ตัวและมีเจตนา ที่เกิดขึ้นจากความปรารถนา ทำให้เกิดความยึดติด ; การงดเว้นการกระทำโดยรู้ตัวและมีเจตนา ที่เกิดขึ้นจากความปรารถนา ทำให้เกิดความเกลียดชัง บุคคลผู้มีปัญญา เป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้าม เขาผู้นั้นเหมือนกับเด็ก เขาใช้ชีวิตเหมือนเด็กอย่างแท้จริง

(การงดเว้นการกระทำ – แนวคิดของการงดเว้นเกิดจากการพิจารณาว่าสิ่งนั้นและการกระทำนั้นเป็นอันตราย, ดังนั้น จึงเกิดความรู้สึกเกลียดชัง ดังนั้นการอยู่เหนือการยึดติดและการเกลียดชังเป็นสภาวะที่สูงกว่า)

(ใช้ชีวิตเหมือนเด็ก – เขาไม่เพียงเป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้ามจากภายใน แต่การแสดงออกภายนอกของเขาก็ยังเหมือนเด็กอีกด้วย เขาร่าเริง ปราศจากการตั้งความหวังใดๆ นี่คือสภาวะสูงสุดของจิตวิญญาณ เรียกว่า “ปรมหังสา” (Paramahamsa) คือการทำลายจนหมดสิ้น)

16.9

ผู้ยึดติดกับมายาต้องการปล่อยวางเพื่อหลีกเลี่ยงความโศกเศร้า แต่ผู้ไม่ยึดติดนั้นเป็นอิสระจากความโศกเศร้า และไม่รู้สึกทุกข์ แม้ยังอยู่ในโลกมายา

(เพื่อหลีกเลี่ยงความโศกเศร้า – เป็นการคิดที่ว่า เหตุแห่งความโศกเศร้าคือโลกมายา)

(ผู้ไม่ยึดติดเป็นอิสระจากความโศกเศร้า – มิใช่โลกมายาที่เป็นเหตุแห่งความโศกเศร้า แต่การยึดติดเป็นรากของความทุกข์ทั้งปวง ผู้ที่เป็นอิสระจากการยึดติด ผู้นั้นสามารถอยู่อย่างมีความสุขในโลก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด

16.10

ผู้ที่มีอัตตา (ทะนงตน) แม้เขาจะรู้สึกว่ามีเป้าหมายในการหลุดพ้น เขาพิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นของเขา, เขาจึงมิได้เป็นปราชญ์หรือโยคี แต่เขาเป็นเพียงผู้ที่มีความทุกข์ทรมาน

(มีอัตตา [ทะนงตัว] เรียกอีกอย่างว่า “อภิมานะ” เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าเป็นความโอหัง หรือ อวดดี จริงๆ แล้วในโศลกก่อนหน้านี้ กล่าวถึงความรู้ใน “ญาณ” หรือสภาวะที่สามารถทำลายอัตตา [ego] ได้อย่างสมบูรณ์ ตราบเท่าที่คนผู้หนึ่งคิดว่า “ฉันจะต้องเป็นอิสระ” หรือ “ฉันเป็นอิสระ” เขาผู้นั้นกำลังยึดอัตตาไว้แน่น เขาไม่มีทั้ง ญาณ และไม่มีโมกษะ และในสภาวะต่อมา, ความรู้สึกของเขาอาจกลายเป็นความภาคภูมิใจในการบรรลุทางจิตวิญญาณของเขา เป็นที่แน่นอนว่า ความภูมิใจเป็นสิ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับญาณ เปรียบได้กับโยคะที่อยู่ตรงข้ามกับการยึดติดกับร่างกาย)

(ความทุกข์ทรมาน – เพราะเขาคิดว่าเขามีญาณ หรือ โยคะ แต่เขายังคงเต็มไปด้วยความทะนงตัว [egoism] เป็นสภาวะที่น่าเศร้าของการหลงผิด และก่อให้เกิดความทุกข์)

16.11

แม้คุรุของท่านคือ หระ (ศิวะ) หริ (นารายณ์) หรือ ผู้เกิดจากดอกบัว (พรหม) แต่ถ้าท่านไม่ลืมมันไปให้หมดเสียก่อน, ท่านก็จะไม่สามารถตั้งตนอยู่ในอาตมัน

(แม้คุรุของท่านคือ ศิวะ นารายณ์ หรือ พรหม ซึ่งเป็นตรีเทพสูงสุดของฮินดู หมายถึงการได้คุรุที่ประเสริฐสุด)

(แต่ – แม้คำสอนจะมีศักยภาพ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จหากไม่สามารถเติมเต็มในสภาวะสูงสุด)

(ถ้าไม่ลืมทั้งหมด – นี่คือสภาวะสูงสุด : ผู้นั้นต้องระมัดระวังให้สติอยู่กับอาตมันเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่น ต้องระมัดระวังว่าไม่มีสิ่งอื่นใดถูกสร้างขึ้นในส่วนหนึ่งของสติที่ตระหนักรู้ ซึ่งหมายถึงเราไม่ได้ตระหนักรู้ในอาตมัน (อาตมันไม่แตกต่างจากสติบริสุทธิ์ [pure consciousness])

Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava

Get carried away?

ความรู้เรื่องอัชฌตวกระคีตาเพิ่มเติม

บทก่อนหน้า

previous

กลับไปสารบัญ

index

บทถัดไป

next

คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบทนี้

ได้ยินได้ฟังมาโดยนิมิตจากเทพเจ้า หรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง 

เป้าหมายทั้งสี่ของชีวิต (ปุรุษารถะ) ประกอบด้วย

  1. กาม การแสวงหาความสุขในทางโลกตามวิสัยของผู้ครองเรือน
  2. อรรถ หมายถึง การสร้างทรัพย์สมบัติเป็นการสร้างฐานะให้มั่นคง
  3. ธรรม หมายถึง หลักศีลธรรมหรือระเบียบปฏิบัติของคนในสังคม
  4. โมกษะ หมายถึง เป็นอุดมคติและคุณค่าสูงสุดในชีวิต เป็นการปฏิบัติตนให้ถึงการหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง