บทที่ 18

ศานติ

อัษฏาวกระได้แสดงหนึ่งร้อยโศลกแห่งความไม่เป็นคู่อันบริสุทธิ์

ตอนที่ 1 – โศลกที่ 1-20

อัษฏาวกระ กล่าว :

18.1

ขอคารวะต่อผู้ที่เป็นสุขตามธรรมชาติ, สงบและอิ่มเอมใจ โดยอรุณรุ่งแห่งการรู้แจ้ง และความหลงผิดทั้งหมดได้กลับกลายเป็นเพียงความฝัน

(ความสงบ – เป็นความยอดเยี่ยมซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลง)

(ความอิ่มเอมใจ – อาตมันนั้นมีความอิ่มในตัวเอง : ไม่มีสิ่งอื่นใดเสมอเหมือน อาตมันมิใช่สิ่งที่รู้ได้ มีเพียงอาตมันที่รู้ถึงตัวมันเอง)

(อรุณรุ่งแห่งความรู้แจ้ง – ด้วยการตระหนักรู้ถึงอาตมัน ธรรมชาติของก็โลกแปรเปลี่ยนไป บัดนี้โลกปรากฏตามความเป็นความจริง, และมายาได้กลายเป็นเพียงความฝัน ซึ่งหมดเสน่ห์และแรงดึงดูดต่อเรา, แม้ว่าภาพแห่งความยั่วยวนยังปรากฏในความฝัน แต่ก็มิได้มีเสน่ห์ใดๆ สำหรับเราในสภาวะที่ตื่นรู้)

(ความหลงผิด – ปรากฏการณ์ของจักรวาลคือภาพลวงตา)

18.2

ผู้ที่ได้รับความรื่นรมย์อย่างมากจากการครอบครองซึ่งวัตถุทางโลกทั้งหลาย, เป็นที่แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถเป็นสุข หากเขาไม่สามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นให้หมดสิ้น

(อย่างแน่นอน – การปล่อยวางเท่านั้นที่จะปลดความกลัวทั้งหลาย และทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ดั่งที่ ภรฺตฺฤหริ [ภรรตฤหริ นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงของชมพูทวีป ซึ่งแต่งตำราไวยากรณ์ วากยปทียะ และ ศตกัตวายะ] ได้กล่าวไว้อย่างงดงามในบทกวี เรื่อง “ร้อยโศลกแห่งการปล่อยวาง” [Hundred Verses on Renunciation] ว่า “ในความรื่นรมย์นั้นมีความกลัวจาก โรค, สถานะทางสังคม, ความกลัวที่จะตกต่ำ, ความมั่งคั่ง, ผู้มีอำนาจปกครอง [อันเป็นปรปักษ์], เกียรติ, กลัวในความอัปยศ, อำนาจ, กลัวศัตรูฝ่ายตรงข้าม, ความสวยงาม, ความชรา, ความรู้จากการศึกษาคัมภีร์, กลัวคู่แข่งขัน, ความดี, ความบริสุทธิ์, กลัวคนใส่ร้าย, ร่างกาย, ความตาย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์โลกกลัวเกรง การปล่อยวางจะทำลายความกลัวเหล่านี้ทั้งหมด

ความรื่นรมย์แห่งผัสสะ และ ความสุขที่แท้จริง สองสิ่งนี้ไปด้วยกันไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน)

18.3

หากปราศจากกระแสแห่งกระยาทิพย์ของความสงบที่หลั่งชโลมต่อเนื่องไม่ขาดสายแล้ว, แกนกลางจิตใจของผู้ที่ถูกแผดเผาจนไหม้เกรียมด้วยแสงตะวันแห่งความเศร้าโศกจะเป็นสุขได้ฉันใด?

(ผู้ที่ถูกแผดเผา – คำว่า “หน้าที่” ซึ่งคนธรรมดาเข้าใจนั้น มิใช่สิ่งใดนอกจากการเป็นทาสในรูปแบบของคุณธรรมความดี ความโลภในเงินทองและการได้มาของวัตถุทางโลกอื่นๆ ความรู้สึกยึดติดกับหน้าที่ทางโลกนั้นไร้แก่นสาร และหน้าที่ทางโลกก็คือโรคร้ายที่เกาะกินเนื้อหนังคนผู้นั้น มันทำให้เขาป่วย [ทุกข์] กับชีวิตแห่งพันธะ [การเปรียบเทียบ] ทำให้เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งปวงของโลกและแผดเผาจิตวิญญาณส่วนลึกที่สุดให้ไหม้เกรียม เฉพาะผู้ที่พิจารณาโลกตามความเป็นจริง และค้นพบว่าสิ่งที่คนต้องทำ คือ การเติมเต็มหน้าที่ [ที่แท้จริง] ของตนเอง ความรู้สึกต่อหน้าที่ [ที่แท้จริง] จะปรากฏในตอนท้ายสุดที่ภาพลวงตาได้จบลง)

(ความสงบ – เมื่อวฤตติ [พฤติ] ของจิตได้ถดถอยลง จิตเป็นอิสระจากความปรารถนา ชีวิตแห่งพันธะ [การเปรียบเทียบ] ได้ปล่อยมือจากเรา เราจะรู้สึกว่าโลก [มายา] ไม่จีรังยั่งยืน และไม่มีสิ่งใดที่เราต้องกระทำกับมัน และแล้ว… ความสุขที่แท้จริงก็มาถึง, ความสงบ นั้นเหมือนกระยาทิพย์ที่หลั่งชโลมลงมาดังสายฝน ซึ่งฟื้นคืนหัวใจอันแห้งแล้ง)

18.4

จักรวาลเป็นเพียงภาวะของสติ (การรับรู้) มันมิได้มีสิ่งใดในความเป็นจริง “การมีตัวฉัน” (self-existing) เป็นเพียงการรับรู้ (สังเกตุเห็น) ว่า ปรากฏ หรือ ไม่ปรากฏ วนเวียนอยู่เช่นนี้ไม่เคยหยุดหย่อน

(ภาวะของสติ – จักรวาลไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมันเป็นเพียงการฉายภาพของจิต ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงสติ [การรับรู้] จักรวาลก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย)

(“การมีตัวฉัน” [self-existing] อธิบายได้ว่า โลกวัตถุนั้นเป็นผลที่เกิดจากการดำรงอยู่ของผู้กระทำ [subject] แต่ผู้กระทำ [subject] นั้นมาจากสิ่งที่มิได้มีอยู่ [none] – “ชีวา [Jivas] มิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากพรหมมัน”)

(การปรากฏ – โลกมายาเปลี่ยนแปลงและไม่จีรัง แต่การดำรงอยู่และประสบการณ์ของวิญญาณได้ก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้น, วิญญาณเป็นนิรันดร์)

18.5

ธรรมชาติของอาตมัน คือ สมบูรณ์ ง่าย (ไม่ต้องพยายาม) ไร้การเปลี่ยนแปลง และบริสุทธิ์ (ไร้มลทิน) อาตมันนั้น ทั้งมิได้อยู่ไกล และไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยข้อจำกัด

(ไม่ต้องพยายาม – อาตมันนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง เราไม่ต้องใช้ความพยายามใดเพื่ออาตมัน อาตมันนั้นสงบ นิ่ง และเยือกเย็นอยู่เสมอ)

(ไร้มลทิน – อาตมันนั้นก้าวข้ามรูปแบบทั้งหลาย มลทินเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งอาตมันมิได้เกี่ยวข้องกับมลทินอย่างสมบูรณ์)

(อยู่ไม่ไกล – อาตมันนั้นแผ่ซ่านไปทั่วจึงอยูใกล้ที่สุด)

(ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยข้อจำกัด – เราสามารถเข้าถึงวัตถุทางสัมผัสอื่นๆ เพราะข้อจำกัดและวัตถุนั้นแตกต่างไปจากเรา, แต่อาตมันนั้นเป็นอนันต์และเป็นตัวเราเองอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงเข้าถึงอาตมันไม่ได้ด้วยข้อจำกัดหรือความแตกต่าง แต่อาตมันถูกเข้าถึง [บรรลุถึงได้] อยู่ตลอดเวลา)

18.6

เมื่อเข้าใจในอาตมัน ภาพลวงตาก็จะหยุดชะงักไป ทัศนวิสัยก็จะปลอดโปร่งไร้สิ่งกีดขวาง เพราะความเศร้าโศกได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว

(ภาพลวงตา – อวิชชาบดบังเราจากการมองเห็นว่าอาตมันคือทุกสิ่ง)

(ทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่ง – การมองเห็นของอาตมันไม่ถูกขัดขวางโดยอวิชชา)

18.7

การรู้ว่าสิ่งทั้งปวงนั้นเป็นเพียงความคิด และ อาตมันเป็นอิสระนิรันดร์นั้น, ทำให้ผู้บรรลุธรรมทำตัวเหมือนกับเด็กๆ หรือ?

(เหมือนเด็ก – คนที่โง่เขลา ในความเป็นจริงเด็กคือผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย, ส่วนคนที่บรรลุธรรมนั้น เขาไม่มีทั้งโลกการกระทำใดๆ)

18.8

การรู้อย่างแน่นอนว่า ตัวตนที่แท้จริงคือพรหมัน และ การดำรงอยู่ (ภาวะ) หรือ ไม่ดำรงอยู่ (อภาวะ) เป็นจินตนาการที่คิดขึ้นเองแล้ว, สำหรับผู้ที่เป็นอิสระจากความปรารถนา อะไรคือสิ่งที่เขาควรรู้, พูด หรือ กระทำ?

(การดำรงอยู่ [existence] – การเปรียบเทียบระหว่าง ดำรงอยู่ และ ไม่ดำรงอยู่ นั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับอาตมัน เพราะอาตมันก้าวข้ามทั้งสองสิ่งนี้ รวมถึงสถานที่และหลักการใดๆ ซึ่งทำให้เกิดความจริง และความไม่จริง)

(อะไรที่ควรทำต่อไป – สำหรับผู้ที่บรรลุอาตมัน ไม่มีอะไรหลงเหลือให้รู้อีก เขาเติมเต็ม เป็นอิสระจากความปรารถนา สำหรับเขาผู้นั้น วัตถุทางโลกดำรงอยู่เพียงชั่วคราว ไม่ใช่ทั้งจริงและไม่จริง การสูญไปซึ่งอัตตาทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่รู้, ไม่พูด, ไม่กระทำกรรม แม้จะประจักษ์ว่าเขากำลังทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น)

18.9

ความคิดที่ว่า “นี่คือฉันจริงๆ” และ “นี่ไม่ใช่ฉัน” ได้ถูกถอนรากถอนโคนไปจาก (โยคี) ผู้สงบซึ่งรู้อย่างแน่นอนว่าสรรพสิ่งคืออาตมัน

(ความคิด – ด้วยการตระหนักรู้ถึงอาตมัน ทุกสิ่งเผยออกมาให้เห็นว่ามีเพียงอาตมัน ไม่มีสิ่งอื่น หลักการของสิ่งคู่ตรงข้ามก็จะหายไป แล้ว (โยคี) ผู้นั้นก็ตระหนักว่าเขาคือสรรพสิ่ง)

18.10

ผู้บรรลุความสงบ (โยคี) ไม่มีความสับสน ไม่เพ่งสมาธิ ไม่รู้จนเกินไป ไม่หลงผิด ไม่เพลิดเพลิน และไม่เจ็บปวด

(ไม่… –  ผู้ที่สามารถควบคุมผัสสะ  (โยคี) มีจิตที่สมดุลย์อย่างสมบูรณ์และอยู่ในภาวะสงบ [เยือกเย็น] เขาไม่สับสนกับสิ่งใด เพราะฉะนั้น เขาจึงมีจิตสงบภายใต้สภาวะตึงเครียด เขามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แบบ)

(รู้จนเกินไป – ไม่มีทั้งการเพิ่มหรือการลดทอนในความรู้ของเขา)

18.11

การเป็นผู้ปกครองสวรรค์ หรือเป็นขอทาน, ได้หรือเสีย, อยู่กับสังคมหรือโดดเดี่ยว ไม่มีความแตกต่างกัน สำหรับผู้บรรลุความสงบ (โยคี) ซึ่งธรรมชาติของเขาเป็นอิสระจากสภาวะ

(ผู้ปกครองสวรรค์หรือขอทาน – สภาวะที่แตกต่างกันนั้น สร้างความรู้สึกแตกต่าง โดยการตระหนักรู้แบบเปรียบเทียบ [relative consciousness] ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ที่ยังมีสภาวะของจิต, มีพันธะ (การเปรียบเทียบ) และ มีข้อจำกัด แต่ เมื่อบุคคลนั้นก้าวข้ามการตระหนักรู้, สิ่งประเสริฐสุดคือ เขาข้ามพ้นความแตกต่าง แม้ว่าเขาจะรู้สึกถึงพวกมันได้, มันปรากฏแก่เขาเป็นเพียงเงาที่ไร้ตัวตน)

18.12

ธรรม (เกี่ยวกับศาสนา หรือ การทำความดี), อรรถ (ความมั่งคั่งในทางโลก), กาม (ความรื่นรมย์แห่งผัสสะ) และการเลือกปฏิบัติ ไม่มีความสำคัญสำหรับผู้บรรลุความสงบ (โยคี) ซึ่งก้าวข้ามสิ่งคู่ตรงกันข้าม เช่น “สิ่งที่ทำแล้ว” และ “สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ”

(สิ่งคู่ – การตระหนักรู้แบบเปรียบเทียบ [relative consciousness] จะถูกรบกวนด้วยสิ่งคู่ตรงกันข้าม ซึ่งความรู้สึกต่อ “สิ่งที่ทำแล้ว” และ “สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ” นั้นเป็นประเภทเดียวกัน เราขยัน (กระทำ) เมื่อมีแรงกระตุ้นจากความปรารถนา, เราปกป้องสิ่งอันปรารถนา และเราไขว่คว้าสิ่งอื่นๆ ; ความปรารถนานี้เป็นรากของ ธรรม อรรถ กาม และการเลือกปฏิบัติ แต่สำหรับคนที่ไม่มีพันธะ ไร้ความปรารถนา เขาไม่จำเป็นต้องคัดแยกสิ่งจริงออกจากสิ่งลวง สิ่งลวงมักไม่ดำรงอยู่กับเขาได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น, ธรรม อรรถ กาม และการเลือกปฏิบัติ จึงไม่มีประโยชน์ต่อคนที่เป็นอิสระจากสิ่งคู่ตรงกันข้าม)

18.13

โยคีผู้บรรลุธรรมซึ่งหลุดพ้นในขณะที่ยังมีชีวิต เขาไม่มีทั้งหน้าที่และการยึดติดของจิตใจ การกระทำของเขาเกี่ยวข้องกับโลกเพียงแค่การดำรงชีพ

(หลุดพ้น – ผู้ที่กำจัดอวิชชาและการปรุงแต่งได้หมดสิ้น กำจัดพันธะทุกประการ ครองตนในอาตมันสมบูรณ์ เรียกว่า “ชีวิตอิสระ” [Jivanmukta] เขาคือผู้ที่มีสภาวะดังนี้ “ปมภายในใจถูกทำลาย, ปลดเปลื้องความสงสัย และผล [กรรม] ของการกระทำได้ถูกทำลาย โดยการตระหนักรู้ถึงปรมาตมัน [Supreme One]” ใน Upadesha Sahasri โดย Sankaracharya อธิบายว่า “ผู้รู้ถึงอาตมันอย่างแท้จริง เขาไม่แตกต่างกันทั้งในภาวะหลับหรือตื่น เขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง เขาไม่รับรู้ในสิ่งคู่ตรงกันข้าม แม้เขาอาจจะกำลังกระทำบางสิ่ง เขาก็มิได้กระทำกรรมแต่อย่างใด”)

(ไม่ทั้งสอง – เนื่องจากบรรลุการหลุดพ้น เขา [โยคี] ได้กำจัดความคิดทั้ง “ฉัน” และ “ของฉัน” [อันทำให้เกิดผลที่ตามมาคือ การยึดติด ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ และสิ่งที่งอกเงยต่อจากสิ่งเหล่านี้] สำหรับวิญญาณที่หลุดพ้นนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดการกระทำทางกาย เพราะเขาไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกของอัตตาอีกต่อไป)

(การกระทำ – ความจริงที่สำคัญมากของชีวิตผู้หลุดพ้นจะขอกล่าวไว้ในโศลกนี้ ตราบเท่าที่ผู้หลุดพ้นมีชีวิต, เขาพบว่ายังคงต้องมีการกระทำ แต่ก็กล่าวได้ว่าเขามิได้กระทำ [กรรม] ความขัดแย้งต่อสิ่งอันปรากฏนี้ อธิบายได้ว่า ผู้ที่ [โยคี] ภายในเป็นอิสระ เขาไม่รู้สึกปรารถนาหรือต้องการสิ่งใด แต่ความจริงยิ่งกว่านั้นก็คือ ร่างกายของเขายังดำรงอยู่และมีแรงยึดเหนี่ยวบางอย่าง มันคือชะตากรรมของเขา [ปรารภกรรม – Prarabha Karma] กรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไป เขา [โยคี] มิได้รับผลกระทบ แต่การกระทำของร่างกายและบนผิวนอกของจิตยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าปรารภกรรมจะหมดสิ้น เมื่อร่างกายย่อหย่อนถดถอย การหลุดพ้นของเขา [โยคี] จึงจะมาถึง, เขาผู้ตระหนักรู้จากจุดยืนของตนเอง เขาไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความคิดเหนือร่างกาย และมิใช่ปรารภกรรม [กรรมเก่า] ; นี่คือคำอธิบาย, สำหรับคนที่ยังมีอวิชชา ซึ่งเห็นว่าเขามีร่างกาย คนเช่นนนั้นจึงเป็นผู้กระทำกรรม และสรุปเหตุผลได้ว่าทำไมการกระทำของผู้บรรลุความสงบ [โยคี] จึงถูกเรียกว่า Yathajivanam “การอยู่เพียงเพื่อดำรงชีพเท่านั้น”)

18.14

โมหะ (ความหลงผิด) คืออะไร? จักรวาลคืออะไร? สมาธิปฏิบัติอย่างไร? หนทางใดนำไปสู่การหลุดพ้นสำหรับวิญญาณอันยิ่งใหญ่ (Great-souled one) ของบุคคลที่ก้าวข้ามโลกแห่งความปรารถนา?

(บุคคลที่ก้าวข้ามโลกแห่งความปรารถนา – เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ที่ดำรงอยู่ในอาตมัน)

(หลักการ : หากกล่าวตามจริงแล้ว มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น คือ การลดระดับความปรารถนา ลดระดับภาพลวงตาของโลกแห่งพันธะ (ที่มีการเปรียบเทียบ) ไปพร้อมๆ กับ การปลีกตัวออกจากสิ่งเหล่านั้นโดยอาศัยการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ; ในขณะที่บุคคลเป็นอิสระจากความปรารถนา, ภาพลวงตาแห่งจักรวาลและผลที่ตามมาทั้งหลายก็จะอันตรธานไป)

18.15

บุคคลที่เห็นความเป็นไปของจักรวาล, อาจจะพยายามที่จะต่อต้านจักรวาลนั้น แต่, เขา (ผู้ไร้ความปรารถนา) เห็นจักรวาลแม้จะไม่ได้มองดูจักรวาลนั้น เขาจะต้องทำอย่างไร?

(บุคคลผู้เห็นจักรวาล – คนที่เห็นความเป็นไปของโลกและพยายามปฏิเสธมัน คือคนที่ยังอยู่ในอวิชชา [โมหะ] เพราะในความเป็นจริง จักรวาลมิได้เป็นตามที่เราเห็นและรู้สึก, สิ่งที่เราเห็นนั้นแกว่งไปตามความปรารถนา ดังนั้น คนที่ก้าวข้ามความปรารถนาจึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องกระทำกับจักรวาลนั้น)

(เห็นจักรวาล – จักรวาลปรากฏเป็นเพียงภาพลวงที่จับต้องไม่ได้สำหรับคนที่บรรลุธรรม เพราะฉะนั้นผู้บรรลุธรรมจึงไม่กล่าวว่าเขาเห็นจักรวาลตามแบบที่เราเข้าใจกันว่า จักรวาลเป็นจริงหรือเป็นแก่นสารสำคัญ)

18.16

บุคคลผู้เห็นพรหมมันอันสูงสุง (Supreme Brahman) โดยการภาวนาว่า “ข้าฯ คือพรหมัน” ในการปฏิบัติสมาธิ เขา (ผู้ก้าวข้ามความคิดทั้งปวง) ทำอย่างไร? เมื่อเขาไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก (เป็นพรหมันเพียงหนึ่งไม่มีสอง)

(บุคคลผู้เห็นพรหมมันอันสูงสุด – คำอธิบายถึงสิ่งที่เข้าใจได้ยากยิ่งนี้คือ เมื่อบุคคลมองเห็นพรหมมัน, แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขายังไม่บรรลุภาวะสูงสุด เพราะในสภาวะนั้น เขาตระหนักรู้ในตัวตนของเขา กับ พรหมัน เป็นสิ่งคู่กัน “ข้าพเจ้า” และ “พรหมัน” เกิดขึ้น ณ จุดนี้ แต่เมื่อบรรลุสภาวะสูงสุดจะเกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรู้สึกถึงสิ่งคู่จะมลายไปสิ้น และไม่มีการทำสมาธิใดอีก)

18.17

บุคคลที่ควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์, เขามองเห็นความสับสนที่อยู่ภายใน แต่ผู้บรรลุธรรม (ผู้ซึ่งรับรู้ว่ามีเพียงอาตมันที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง) ไร้ความสับสน ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำให้สำเร็จอีก, เขาควรทำอย่างไร?

(การควบคุมตนเอง – ความสับสนทั้งภายนอกและภายในที่มีรูปแบบต่างๆ มีเหตุมาจากสิ่งเดียวคือการแบ่งแยกเอกลักษณ์ระหว่าง “อาตมัน” กับ “สิ่งที่มิใช่อาตมัน” ซึ่งเป็นอวิชชา เพราะฉะนั้น สำหรับบุคคลที่รู้ในอาตมันจึงไม่มีอวิชชาหลงเหลืออยู่ การควบคุมจิตจึงไม่มีความหมายอีกต่อไป)

(ไม่มีสิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ – เพราะการกำจัดสิ่งคู่ตรงกันข้าม และ การกำจัดความสับสนนั้น ถูกกำจัดไปพร้อมกัน)

18.18

ผู้บรรลุธรรม, แม้ดูเหมือนว่าเขามีชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา แท้จริงแล้วแตกต่างกัน เขาไม่เห็นทั้ง ความมุ่งมั่น ความสับสน และความมัวหมองใดๆ ที่เป็นของเขาเอง

(แม้จะเหมือนคนทั่วไป – พฤติกรรมภายนอกของผู้บรรลุธรรมก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ แต่มีพื้นฐานทางทัศนคติที่แตกต่างกัน คนทั่วไปมองโลกว่าจริง มีแก่นสารสำคัญ และมีพฤติกรรมไปตามทัศนคตินั้น แต่ผู้บรรลุธรรม รู้และรู้สึกว่าโลกเป็นเพียงภาพลวงตา ไร้แก่นสาร และผู้บรรลุธรรมประพฤติต่อโลกว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ การกระทำของเขาไม่มีเจตนา แต่ถูกกระตุ้นโดยแรงเหวี่ยง [momentum] ที่เป็นผลกระทบจากการกระทำ [กรรม] เหล่านั้น และส่งผลต่อชีวิตในทางโลกของเขา ร่างกายของเขาจะถดถอยลงทันทีที่ผลกระทบ [กรรม] เหล่านั้นหมดสิ้นลง)

(ไม่เห็น – ผู้บรรลุธรรมไม่เห็นสิ่งใดนอกจากอาตมันซึ่งเป็นพุทธิบริสุทธิ์)

(ไม่เห็นความมุ่งมั่น – ตราบเท่าที่ยังสับสน, ความมุ่งมั่นจะนำไปสู่เป้าหมายคือ “การตระหนักรู้ถึงอาตมัน” ; แต่ผู้ที่บรรลุถึงอาตมันแล้วจะไร้ความสับสน ครองคนอยู่ในอาตมันสมบูรณ์ เขาจึงไม่ต้องการความมุ่งมั่นอีกต่อไป)

18.19

บุคคลที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ : ผู้ที่ปราศจากการดำรงอยู่ (ภาวะ) และ การไม่ดำรงอยู่ (อภาวะ), ผู้บรรลุธรรม, ผู้พึงพอใจในอาตมัน และผู้ที่เป็นอิสระจากความปรารถนา เขาเหล่านี้มิได้กระทำกรรม แม้ว่าสายตามแบบโลกๆ เห็นว่าเขากำลังกระทำกรรมอยู่

(ปราศจากภาวะและอภาวะ – หมายถึงการข้าวข้ามโลกแห่งพันธะ (การเปรียบเทียบ) ซึ่งเป็นส่วนผสมของภาวะและอภาวะ ซึ่งกล่าวได้ว่ามี “การดำรงอยู่” เมื่อถูกรับรู้ในความรู้สึก และ “ไม่ดำรงอยู่” เมื่อสูญหายไปใน จิตเหนือสำนึก [superconsciousness] ซึ่งผู้บรรลุธรรมที่รู้ธรรมชาติของโลก เขาไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง)

(การกระทำกรรม – การกระทำไม่เป็น “กรรม” อีกต่อไปเมื่อบุคคลที่กระทำนั้นไม่ข้องเกี่ยวกับอัตตา ผู้บรรลุธรรมเป็นอิสระจากอัตตาอย่างสมบูรณ์ เขาไม่แบ่งแยกตัวตนกับการกระทำของเขา ดังนั้น เขาจึงมิได้กระทำกรรมอย่างแท้จริง แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังกระทำอยู่)

18.20

ผู้บรรลุธรรมซึ่งมีชีวิตอันผาสุก เขากระทำในสิ่งที่เข้ามาสู่เขา, เขาไม่รู้สึกทุกข์ยาก (ไม่ดื้อดึงขัดขืน) ทั้งในการกระทำและการไม่กระทำ

(สิ่งที่เข้ามา – เป็นแนวความคิดในเรื่องราวของปรารภกรรม)

(การกระทำ – เพราะผู้บรรลุธรรมไม่ผูกพันกับการกระทำใดๆ อีกต่อไป และไม่ต้องระงับหรืองดเว้นจากกระทำใดๆ ซึ่งมันเป็นความพึงพอใจของตัวเขาเอง ; การกระทำโดยตั้งใจนั้น ทำให้เกิดความทุกข์เมื่อผิดหวังหรือมีอุปสรรค ; เมื่อบุคคลปราศจากอัตตา การกระทำหรือไม่กระทำของเขาก็จึงเหมือนกัน)

(รู้สึกทุกข์หรือดื้อดึงขัดขืน – ความดื้อดึงหรือเอาชนะ [Durgraha] นั้นเป็นอุปสรรคและข้อจำกัดอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้นจะต้องกำจัดออกไปอย่างฉับพลันทันที)

Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava

Get carried away?

ความรู้เรื่องอัชฌตวกระคีตาเพิ่มเติม

บทก่อนหน้า

previous

กลับไปสารบัญ

index

บทถัดไป

next