บทที่ 10

ภาวะแห่งความสงบเงียบ

อัษฏาวกระชี้ให้เห็นผลจากการกระทำในอดีต และหลุดพ้นวัฏสงสาร

อัษฏาวกระ กล่าว :

10.1

จงเป็นกลางต่อสรรพสิ่ง ละกาม (ความปรารถนา) ดั่งเช่นศัตรู, ละอรรถ (ความมั่งคั่งในทางโลก) ดั่งเช่นความชั่วร้าย และเช่นเดียวกัน ละธรรม (การทำงานที่ดี) ซึ่งเป็นเหตุแห่งสองสิ่งแรก

(กามเป็นศัตรู เนื่องจากความปรารถนาต่อความรื่นรมย์ในสัมผัส ขัดขวางต่อการได้มาซึ่งความรู้)

(ความมั่งคั่งเป็นสิ่งชั่วร้าย เพราะการครอบครองและธำรงรักษาทรัพย์สมบัตินั้น เป็นภัยร้ายและทำให้การยกระดับจิตวิญญาณทำได้ยาก)

(ธรรม [การทำงานที่ดี, การทำดีหรือการทำบุญ] นั้น เป็นที่ทั้งฆราวาสและศาสนิกชนควรละเว้น โดยเฉพาะในภายหลังที่มีการกำหนดพิธีกรรมในพระคัมภีร์ว่าผู้ปฏิบัติธรรมจะได้รับผลเป็นบุญซึ่งเบื้องบนประทานให้เป็นความร่ำรวยและความสุขสบาย)

(ธรรม, อรรถ และ กาม เป็นสามสิ่งที่คนธรรมดาแสวงหาจนจบชีวิต แต่ผู้ที่ต้องการบรรลุโมกษะ, การหลุดพ้น, สิ่งสูงสุดของชีวิต [highest good life] ผู้นั้นจำเป็นต้องละสามสิ่งนี้ ไม่มีการบรรลุภาวะสมบูรณ์ตราบเท่าที่ยังมีแม้จุดเล็กๆ ของความปรารถนา ผู้ที่ปราศจากความปรารถนาแล้ว สามสิ่งนี้ย่อมหมดความหมาย ดังนั้น, จึงจำเป็นต้องละสามสิ่งนี้ อันอาจจะเปิดดวงตาให้เห็นปรมาตมัน [Supreme Self] ได้)

10.2

จงมองดู สหาย, ที่ดิน, ทรัพย์สิน, บ้าน, ภรรยา, ของกำนัล และโชคดีต่างๆ ให้เป็นเหมือนดั่งความฝัน หรือ การแสดงมายากล ซึ่งจะคงอยู่กับเราได้เพียง 3-5 วัน

(เป็นดั่งความฝันเนื่องจาก สิ่งที่ถูกพิจารณาเหล่านี้มิได้มีอยู่จริง)

(คงอยู่กับเราเพียงไม่กี่วัน เพราะสิ่งที่ถูกพิจารณาเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว)

10.3

จงรู้ว่า, ที่ใดมีความปรารถนา ที่นั่นมีมายา (โลก) จงทำตัวท่านให้มั่นคง ไม่ยึดติด, ก้าวข้ามความปรารถนา และ จงเป็นสุข

(ความปรารถนาเป็นรากฐานของ มายา [โลก] ในขณะที่เป็นอิสระจากความปรารถนา มายา [โลก] ก็จะอันตรธานไป)

(ความมั่นคง – ชี้ให้เห็นทัศนคติของความสมบูรณ์ ไม่ยึดติดกับวัตถุแห่งความรื่นรมย์ แม้เมื่อครอบครองวัตถุนั้น)

(ความปรารถนา – ในที่นี้หมายถึงความปรารถนาในวัตถุที่ยังไม่ได้มาครอบครอง)

10.4

พันธะนั้นอยู่ในความปรารถนา และการทำลายพันธะเรียกได้ว่า การหลุดพ้น ซึ่งทำได้โดยการปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับมายา (โลก) การไม่ยึดติดกับมายา (โลก) เท่านั้นที่จะทำให้ได้รับความสุขอันถาวรของการตระหนักรู้ (ของอาตมัน)

10.5

ท่านคือหนึ่งเดียวกัน (One), บริสุทธิ์, เป็นพุทธิ จักรวาลนั้นมิใช่พุทธิและไม่ได้มีอยู่จริง ส่วนอวิชชานั้นก็หาใช่สิ่งใดเลย เช่นนั้นแล้ว, ยังมีสิ่งใดที่ท่านปรารถนาจะรู้อีก ?

(เมื่อตระหนักรู้ว่าอาตมันเป็นหนึ่งเดียว เป็นพุทธิ บริสุทธิ์ จึงมิต้องรู้ในสิ่งอันเป็นมายา โลกนั้นเกิดจากอวิชชา และมิได้มีอยู่จริง ความรู้ในเรื่องอาตมันจึงเป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายปลายทางของชีวิต)

10.6

อาณาจักร, บุตร, ภรรยา, ร่างกาย และความพึงพอใจ ล้วนหายไปเมื่อท่านเกิดใหม่, แม้ว่าท่านยังคงยึดติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น

(สิ่งอันเป็นมายา [โลก] นั้นย่อมสูญสลายไปแม้ว่าจะรักสักเพียงใด พวกมันทำให้เกิดความสูญเสียและเจ็บปวด กระบวนการนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในการเวียนว่ายตายเกิด [วัฏสงสาร] เช่นนั้นแล้ว, ทำไมจึงยึดติดกับสิ่งเหล่านี้)

10.7

จงรู้จักพอในความมั่งคั่ง, ความปรารถนา และการทำบุญ จิตมิได้พบศานติสุขในป่าอันทึมทึบของมายา (โลก)

(อัษฏาวกระได้เน้นให้เห็นความไร้ค่าของ ธรรม อรรถ และ กาม อันมิใช่หนทางสู่โมกษะ)

10.8

มีสักกี่ชาติที่ท่านมิได้ทำกรรมอันหนักหนา ด้วย กาย วาจา ใจ เพราะฉะนั้น จงหยุดที่จะกระทำกรรม อย่างน้อยที่สุดในวันนี้

(เรามีกายและความทุกข์อันเป็นผลของการกระทำในอดีตชาติ กระบวนการนี้จะต่อเนื่องไปตราบเท่าที่เราอยู่ในวัฏสงสาร การหนีจากความทุกข์ตลอดกาล, เราต้องหยุดกิจกรรมทางโลกในทันที)

(อัษฏาวกระ ได้ชี้ให้เห็นว่าการกระทำในอดีตส่งผลให้เราต้องใช้กรรมและรับความเจ็บปวดและมิได้ให้ความสุขใดๆ เลยในที่สุด, แล้วเหตุใดเรายังไม่ละการกระทำทางโลกียะ ? )

Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava

Get carried away?

ความรู้เรื่องอัชฌตวกระคีตาเพิ่มเติม

บทก่อนหน้า

previous

กลับไปสารบัญ

index

บทถัดไป

next