บทที่ 9
การปล่อยวาง
อัษฎาวกระได้อธิบายถึง “การปล่อยวาง”
อัษฎาวกระ กล่าว :
9.1
เราจะต้องตระหนักในสามสิ่งนี้ด้วยจิตอันปล่อยวางและไร้ความปรารถนาซึ่งทำได้โดยการมองโลกอย่างเป็นกลาง สามสิ่งนี้ประกอบด้วย
ตระหนักรู้ว่า หน้าที่ของเราที่ ทำ และ ไม่ได้ทำ เป็นแค่สิ่งคู่ตรงกันข้าม
ตระหนักรู้ว่า หน้าที่ที่เราทำไปนั้น จะสิ้นสุดลงเมื่อไร
ตระหนักรู้ว่า หน้าที่ที่เราทำไปนั้น ทำเพื่ออะไร
(หน้าที่จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ? – ชีวิตมักเป็นส่วนผสมของสิ่งคู่ตรงกันข้าม สนุกและเสียใจ สำเร็จและล้มเหลว ดีและชั่ว ฯลฯ เราจึงเลือกสิ่งหนึ่งและหลีกเลี่ยงอีกสิ่งหนึ่งเสมอ ดังนั้นหลักของการพิจารณา “หน้าที่” คือ ถ้าเราคิดว่ามายาเป็นจริง เราจะหนีไม่พ้นสิ่งคู่ตรงกันข้ามและไม่อาจกำจัดความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ออกไปได้ ทางเดียวที่จะออกจากสภาวะนี้ คือการตระหนักรู้ถึงความกลวงของมายา [hollowness of the world] และละทิ้งมัน)
(การทำหน้าที่โดยไร้ความปรารถนา คือ ไม่บนบานศาลกล่าว หรือไม่มีความปรารถนาทางโลกียวิสัย เช่น ปรารถนาความล้ำเลิศ ปรารถนาความเจริญรุ่งเรือง ปรารถนาความมั่งคั่ง หวังผลตอบแทนทางโลกหรือทางสวรรค์ เป็นต้น)
9.2
คนที่บรรลุธรรม คือคนที่ดับสิ้นซึ่งความปรารถนาในชีวิต ; ดับสิ้นซึ่งความเพลินเพลินทางโลกียวิสัย ; ดับสิ้นซึ่งการเรียนรู้ โดยเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปแห่งชีวิตของผู้คน บุคคลนี้หาได้ยากยิ่ง
(การเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ – บางคนเรียนรู้ว่าโลกมายานั้นกลวง โดยการสังเกตความทุกข์ของผู้อื่น แล้วตระหนักว่าโลกมายานั้นไม่สามารถมอบความสุขนิรันดร์แก่เขา แต่ผู้อื่นที่โง่เขลาจะได้รับบทเรียนหลังจากที่โดดลงไปคลุกในมายานั้น และได้รับประสบการณ์คือความเลวร้ายของชีวิต)
(ในโศลกที่ 3, 4 และ 5 จะกล่าวถึง การละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่อง ชีวิต, ความเพลิดเพลิน และการเรียนรู้ ตามลำดับ)
9.3
คนฉลาดจะสงบจิตใจลงได้ผ่านการตระหนักรู้ในเรื่อง ความทุกข์สามประการ (threefold miseries) และได้รู้ว่าสรรพสิ่งล้วนมีสามัญลักษณะคือไตรลักษณ์ (trinity) ได้แก่ อนิจจัง (ไม่เที่ยงแท้) เป็นทุกข์ และ อนัตตา (ไม่มีตัวตน) และทั้งหมดนั้นสมควรแก่การละทิ้ง (นี่คือการละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่อง ชีวิต)
(ความทุกข์สามประการ [threefold misery] คือความทุกข์ยากสามประการของชีวิตวัตถุนิยม ได้แก่ ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและจิตใจ ; ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากที่กำหนดโดยสังคมชุมชนประเทศชาติและสิ่งที่มีชีวิตอื่น ๆ ; และความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ความอดอยาก ภัยแล้ง น้ำท่วม โรคระบาด และอื่นๆ)
9.4
จะมีเวลาใดบ้างเล่าที่ความเป็นคู่ตรงกันข้ามนั้นไม่มีอยู่? บุคคลที่หลุดพ้นออกจากภาวะของสิ่งคู่ตรงกันข้ามได้ และตระหนักในความเป็นจริงนี้ได้ เขาคือผู้บรรลุในความสมบูรณ์ (นี่คือการละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่อง ความเพลิดเพลิน)
(เราไม่อาจจินตนาการได้ว่าช่วงชีวิตใดจะมีแต่สิ่งดี, รื่นเริง อย่างบริบูรณ์ และไม่มีใครที่อยู่กับสิ่งเลว, เศร้าโศกไปตลอด เพราะฉะนั้น ความหวังที่จะได้ความสุขอนันต์เป็นกระบวนการของบทเรียนชีวิต [course of life’s process] เราต้องตระหนักรู้ความจริงอันสูงสุด และหาความหมายเพื่อจะได้รับศานติสุข นั่นคือ, เราต้องออกจากชีวิตที่มีการเปรียบเทียบ [relative life] เพื่อปล่อยวางจากผลกระทบของเหตุการณ์ใดๆ ในชีวิต และยังคงมีความเป็นกลางต่อประสบการณ์เหล่านั้น)
9.5
ผู้ที่ได้รับความคิดเห็นอันหลากหลาย จากปราชญ์ นักบุญ โยคี และอื่นๆ และไม่ให้ค่าสิ่งใดว่าแตกต่างกันเลย จะเป็นผู้ที่ได้รับศานติสุขอย่างแท้จริง คนแบบนี้คือผู้ใดกันหรือ? (นี่คือการละทิ้งกิเลสตัณหาในเรื่องการเรียนรู้)
(ความหลากหลาย เกิดจาก หลายสถานศึกษา, หลากหลายปรัชญา และ พื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกัน)
(ผู้ที่ได้รับศานติสุขอย่างแท้จริง – ผู้ที่ไม่เห็นซึ่งความแตกต่างใดๆ ต่อวัตถุทางโลกที่หลากหลาย ผ่านเจตนาของการตระหนักรู้ถึงอาตมัน จิตใจเช่นที่กล่าวข้างต้นเป็นคุณลักษณะที่หาได้ยากยิ่ง เราจะต้องปฏิบัติทั้งโศลกที่ 3, 4 และ 5 ไปพร้อมๆ กันเพื่อการปล่อยวาง)
9.6
ผู้ที่รู้ถึงความเป็นไปของสติบริสุทธิ์ ผ่านการมองโลกอย่างเป็นกลางโดยสมบูรณ์ มีจิตใจที่สงบ มีเหตุผล และช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดพ้นจากโลกมายา เขามิใช่ผู้นำทางวิญญาณหรอกหรือ?
(สงบเย็น ในที่นี้หมายถึง ไม่มีความแตกต่างระหว่าง มิตรภาพกับความเป็นศัตรู ความสุขและความทุกข์ เป็นต้น)
(ผู้นำทางจิตวิญญาณ – หมายถึง ผู้ที่มิได้ตีค่าว่าแนวทางการหลุดพ้นของ นักบวช สาธุชน โยคีและคนอื่นๆ ว่าแนวทางของใครดีกว่ากัน เขามองเห็นว่า แนวทางเหล่านี้ก็คือแนวทางของจิตวิญญาณ (spiritual guide)
โศลกนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ตระหนักรู้ในสัจธรรมด้วยตนเอง ก็เป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณ (spiritual guide) เช่นเดียวกัน เขาไม่เพียงแค่ศึกษาหาความรู้, แต่เขาได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเข้าถึงการตระหนักรู้ ตามแนวทางที่คุรุได้ให้หลักการไว้)
9.7
จงมองไปบนการปรุงแต่งของธาตุต่างๆ ว่ามิใช่สิ่งใดในความเป็นจริง มีเพียงธาตุพื้นฐานอันเป็นปฐมภูมิ, แล้วท่านจะเป็นอิสระจากพันธะในทันทีทันใด และยึดถือเพียงตัวตนอันแท้จริงของท่าน
(การปรุงแต่ง – ร่างกาย จิต ประสาทสัมผัสและอื่นๆ ในความเป็นจริงก็มิใช่สิ่งใดเลยนอกจากธาตุพื้นฐานทั้งห้า, แตกต่างก็เพียงรูปแบบของการผสมผสาน รูปแบบเหล่านี้ทำให้เราพิจารณาว่าสิ่งหนึ่งสวยงาม อีกสิ่งหนึ่งอัปลักษณ์ ทำให้เกิดความปรารถนาสิ่งหนึ่ง และหลีกเลี่ยงอีกสิ่งหนึ่ง แต่ในชั่วขณะที่เรารู้สึกว่าทุกสิ่งนั้นเหมือนกัน, ความชอบและความไม่ชอบก็จะอันตรธานไป และเราก็จะเป็นอิสระ)
(เป็นอิสระ – พันธะเป็นส่วนประกอบในการดึงดูดของร่างกายกับสิ่งต่างๆของโลกมายา ซึ่งผ่านการปรุงแต่งจากธาตุพื้นฐานที่แตกต่างกัน อิสระอยู่เหนือสิ่งดึงดูดนั้น)
9.8
โลกทั้งใบของเรามาจากความปรารถนา เพราะฉะนั้น, การที่เราจะปล่อยวางทุกสิ่ง, การปล่อยวางความปรารถนาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ เมื่อละทิ้งความปรารถนาแล้ว เราก็จะมีชีวิตที่เป็นอิสระ (อยู่ที่ใดก็ได้)
(เพราะความปรารถนาผูกมัดเราไว้กับมายาที่ทำให้เราคิดว่าเป็นจริง ทำให้เราวนเวียนอยู่ในการเกิดแล้วเกิดอีก ในขณะที่เราสิ้นความปรารถนา มายาก็จะอันตรธานไป และจะไม่มีการกลับมาเกิดอีก)
(อยู่ที่ใดก็ได้ ในที่นี้หมายถึง ผู้ซึ่งละทิ้งความปรารถนา จะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ ผู้นั้นสามารถอยู่อาศัยที่ใดก็ได้ เพราะมันมิได้ส่งผลกระทบต่อเขาผู้นั้น)
Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava
คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบทนี้
กาย จิต ความรู้สึก แท้จริงแล้วคือธาตุทั้งห้า แตกต่างกันเพียงรูปแบบของการรวมตัวกัน รูปแบบนี้ที่ทำให้เราเกิดการปรุงแต่งพิจารณาไปว่าอันหนึ่งสวย อีกอันไม่สวย เพราะเหตุนั้นจึงปรารถนาอันที่สวยและไม่ปรารถนาอีกอัน
ความเป็นอิสระคือการก้าวข้ามแรงดึงดูดที่อยู่ภายในพันธะของกาย กับสิ่งต่างๆ อันเป็นมายา (world)
กรรมทางวัตถุประกอบด้วยสภาวะแห่งความทุกข์สามประการเสมอ ได้แก่ adhyātmika, adhidaivika และ adhibautika ดังนั้นแม้ว่าใครจะประสบความสำเร็จบ้างจากการทำกรรมดังกล่าว ความสำเร็จนี้จะมีประโยชน์อย่างไร เมื่อเขายังคงต้องเผชิญกับ การเกิด ความชรา ความเจ็บป่วย และความตาย ต้องรับผลแห่งกรรมที่เขาได้กระทำสำเร็จลงไป
Adhyātmika ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและจิตใจ
Adhidaivika ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากที่กำหนดโดยสังคม ชุมชน และสิ่งที่มีชีวิตอื่น ๆ
Adhibautika ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ
ความสุขอันเกิดจากสัมผัสด้วยอายตนะนั้นเป็นต้นกำเนิดของความทุกข์ อันมีเกิดและดับเป็นเที่ยงแท้ ไม่มีพุทธิใดที่เริงรมย์อยู่ในสิ่งเหล่านี้ (ภควัทคีตา โศลกที่ 5.22 ฉบับแปลโดย อาจารย์เกียรติขจร ชัยเธียร)
ไตรลักษณ์ แปลว่า “ลักษณะ 3 อย่าง” หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน
อนิจจตา (อนิจจลักษณะ) – อาการไม่เที่ยง อาการไม่คงที่ อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป
ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) – อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้
อนัตตตา (อนัตตลักษณะ) – อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่มีตัวตน อาการที่แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง