บทที่ 3
บททดสอบการบรรลุธรรม
“อัษฏาวกระ” ยินดีกับการบรรลุธรรมของศิษย์ แต่คุรุเห็นบางสิ่งในสภาวะนั้น คุรุจึงดับกระแสแห่งไฟของการยึดติดความปิติหรือความพึงพอใจนั้น
อัษฏาวกระ กล่าว :
3.1
การได้ตระหนักรู้ถึงตัวตนของท่านว่าคือ “อาตมัน” ไม่อาจถูกทำลาย และ เป็นหนึ่งเดียว, เป็นความแจ่มใสเยือกเย็นและเป็นนิรันดร์, แล้วเหตุใดท่านจึงปรารถนาความร่ำรวย?
3.2
อนิจจา, เพียงจินตนาการถึงไข่มุกในหอยมุกชั้นเลิศ, ความโลภก็ก่อกำเนิดขึ้นฉันใด, การยึดติดกับมายาแห่งวัตถุก่อตัวขึ้นเมื่ออวิชชาครอบงำอาตมันฉันนั้น
3.3
การได้ตระหนักรู้ถึงตัวตนของท่านว่าคือ “อาตมัน” (ท่านย่อมไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้อยู่ท่ามกลาง) ที่ซึ่งคลื่นมหาสมุทรแห่งโลกพัดกระหน่ำขึ้นสูงและลงต่ำ, แล้วเหตุใดท่านจึงวิ่งวนสับสนไปดั่งสิ่งมีชีวิตอันไร้ที่พึ่ง ?
3.4
การได้ตระหนักรู้ถึงตัวตนของท่านว่าคือ “สติ” อันบริสุทธิ์, ซึ่งมีความงดงามเกินกว่าคำพรรณนาใดๆ, แล้วท่านจะยังยึดติดกับความกำหนัด (กาม) และกลับกลายเป็นความแปดเปื้อนได้อย่างไร ? (เพราะการตระหนักรู้ตัวตนนั้นมิอาจเกิดขึ้นพร้อมกับความกำหนัด)
3.5
มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่า แม้ปราชญ์ที่ได้ตระหนักรู้แล้วว่า “อาตมันอยู่ในทุกสิ่ง” และ “ทุกสิ่งอยู่ในอาตมัน” แต่ความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของก็ยังคงอยู่
3.6
มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่า ผู้ที่ยึดมั่นต่อความสัมบูรณ์ (ไร้สิ่งอันเป็นคู่), ตั้งมั่นที่จะหลุดพ้น, ยังคงมีความเปราะบางต่อความกำหนัด (กาม) และใจอ่อนกับความรักใคร่อันรื่นรมย์
3.7
มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าความกำหนัด (กาม) เป็นศัตรูของความรู้, ผู้ที่อ่อนแอและกำลังก้าวเข้าสู่กาลมรณะนั้น ยังคงกระหายต่อความพึงใจแห่งราคะ
3.8
มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่า คนที่ปล่อยวางทุกสิ่งแล้วทั้งในโลกนี้และโลกหน้า, คนที่สามารถแยกแยะได้ระหว่างความเปลี่ยนแปลงและนิรันดร์, คนที่ปรารถนาความเป็นอิสระ, เขาก็ยังคงเกรงกลัวต่อปลดปล่อยตัวของเขาเอง (กลัวต่อการสูญเสียความเป็นตัวตน-เอกลักษณ์ของตนเอง)
ข้อ 3.1 ถึง 3.8 คือความขัดแย้งในคำอธิบายของกษัตริย์ชนกที่คุรุอัษฏาวกระสังเกตเห็น และคุรุได้ชี้ให้เห็นสิ่งผิดปกตินั้น)
3.9
ไม่ว่าการถูกสรรเสริญหรือแม้แต่การถูกทรมาน, ปราชญ์ผู้สงบที่ยึดมั่นในอาตมัน เขาย่อมมิได้พึงพอใจและมิได้โกรธ
3.10
วิญญาณอันสูงส่ง (ถูกยกระดับขึ้นด้วยการตระหนักรู้) เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์การกระทำใดๆ ของร่างกายของเขาเอง ราวกับว่ามันเป็นร่างกายของผู้อื่น, เช่นนั้นแล้ว การสรรเสริญ หรือ ตำหนิ จะรบกวนเขาได้อย่างไร?
3.11
การตระหนักรู้ว่าจักรวาลคือมายา, ย่อมหมดสิ้นความสงสัยทั้งปวง เช่นนั้นแล้ว ผู้มีจิตใจอันมั่นคงจะเกรงกลัวต่อความตายได้อย่างไร?
3.12
วิญญาณอันยิ่งใหญ่ของผู้ที่พึงพอใจอยู่ด้วยความรู้แห่งอาตมัน, เป็นผู้ซึ่งไร้ความปรารถนาแม้ว่าจะประสบความผิดหวัง
(ความผิดหวังในผู้คนที่ยังไม่ตระหนักรู้ จะยิ่งทำให้เขายึดติดกับความปรารถนามากยิ่งขึ้น แต่สำหรับผู้ที่พึงพอใจในความตระหนักรู้ ย่อมไร้ความปรารถนา ความผิดหวังใดๆ จึงไม่อาจทำให้เขาทุกข์หรือปรารถนายิ่งขึ้นได้)
3.13
ผู้ที่มีจิตใจอันมั่นคง, ผู้เห็นการไม่มีอยู่จริงของวัตถุ เหตุใดเขายังคงยอมรับสิ่งหนึ่งแต่ไม่ยอมรับอีกสิ่งหนึ่งเล่า ?
3.14
เขาผู้ซึ่งปล่อยวาง, เขาผู้นั้นย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยสิ่งคู่ตรงกันข้าม, ไร้ซึ่งความปรารถนา, ไม่รู้สึกพึงพอใจหรือเจ็บปวดเมื่อผ่านประสบการณ์ต่างๆ
Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava
คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบทนี้
เกิดขึ้นจากความรู้สึกเป็นสื่งคู่ (ในภาวะที่ยังไม่ตระหนักถึงอาตมันในตน) สิ่งต่างๆ จึงถูกพิจารณาว่ามีอยู่จริง น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา ดีหรือชั่ว ชอบหรือไม่ชอบ เป็นต้น
กลัวต่อความตาย เมื่อตระหนักรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงคือ “อาตมัน” เป็นนิรันดร์ ไม่เกิดและไม่ตาย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะกลัวต่อการแตกดับของร่างกาย เพราะเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ไม่มีผลใดกับอาตมัน
เป็นความรู้สึกแห่งความสมบูรณ์ (absolute) ว่ามีเพียงอาตมันเท่านั้นที่มีอยู่ สิ่งอื่นนั้นมิได้มีอยู่จริงเป็นเพียงมายาที่ถูกสร้างขึ้น เช่นนั้นผู้ตระหนักรู้พึงไม่ยึดติดกับวัตถุ (object) และโลกมายา (world)
การยึดติดกับวัตถุจะให้ความพึงพอใจหรือความเจ็บปวดเพียงเท่านั้น