บทที่ 2

ความปิติเมื่อบรรลุธรรม

กษัตริย์ชนกบรรลุธรรมที่คุรุแสดงแก่เขา เขาเกิดความปิติจึงอธิบายถึงความปิติและความประหลาดใจในสภาวะของการบรรลุธรรมนี้

กษัตริย์ชนกอธิบาย

ในสภาวะแห่งการบรรลุธรรมซึ่งกษัตริย์ชนกได้ตระหนักถึงตัวตนอันแท้จริงว่าเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล และสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

กษัตริย์ชนก กล่าว :

2.1

ข้าพเจ้ามีความบริสุทธิ์ (เป็นอิสระไร้มลทินจากคุณลักษณะทั้งปวง) มีความสงบ ประกอบอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะอันบริสุทธิ์เกินกว่าธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ (ข้าพเจ้ายังมิได้ความรู้จากคุรุ) ข้าพเจ้าถูกล่อลวงโดยมายา 

2.2

เมื่อแสงสว่างส่องกระทบร่างกายและจักรวาล ร่างกายและจักรวาลจึงปรากฏให้เห็น ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่า ข้าพเจ้าคือทุกสิ่งและข้าพเจ้ามิได้เป็นเจ้าของสิ่งใดเลย

2.3

ข้าพเจ้าประจักษ์ถึงปรมาตมัน โดยผ่านทักษะแห่งปัญญา (ที่คุรุได้แสดง) หลังจากได้สละซึ่งตัวตนและจักรวาล

2.4

เฉกเช่นคลื่น, โฟม หรือฟอง ก็เป็นเพียงรูปแบบต่างๆ ของน้ำ ซึ่งมิได้แตกต่างไปจากน้ำ, เพราะฉะนั้นจักรวาลซึ่งขจรขจายนั้นถูกสร้างจากอนุภาค (เรียกว่าอาตมัน) และมิได้แตกต่างจากไปจาก “อาตมัน” ในร่างกายของข้าพเจ้าเองเลย

2.5

เมื่อมองลงไปในเสื้อผ้าอาภรณ์, ท่านจะเห็นเพียงเส้นด้ายที่ประกอบกันขึ้นมา และเมื่อมองลงไปในทุกสิ่ง, ท่านก็จะเห็นเพียง “อาตมัน” ที่ประกอบอยู่เช่นเดียวกัน

2.6

จักรวาลอันสร้างด้วยข้าพเจ้า (ซึ่งตระหนักรู้ว่า “ข้าพเจ้า” คือ “อาตมัน”) นั้นมีข้าพเจ้าแทรกซึมไปในทุกอณู ดุจดั่งน้ำหวานที่แทรกซึมไปทั่วทั้งต้นอ้อย

2.7

หากไม่ตระหนักถึง “อาตมัน” แล้ว โลกนี้จะถูกบดบังด้วยมายา แต่การได้เห็นว่าทุกสิ่งล้วนสร้างจาก “อาตมัน” เช่นเดียวกันแล้ว, ทุกเส้นแบ่งที่เคยปรากฏก็จะหายไปสิ้น ดั่งเช่นเชือกที่มิใช่งูพิษ แต่อาจถูกลวงตาให้เห็นเป็นงูพิษได้

2.8

ในภาวะแห่งการบรรลุธรรม ข้าพเจ้ามิต้องรอคอยแสงสว่างเพื่อให้เห็นสรรพสิ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นจักรวาลนี้ด้วยแสงสว่างที่เกิดจากตัวข้าพเจ้าเอง

แสงสว่างคือธรรมชาติของข้าพเจ้า

2.9

ด้วยอวิชชา, ข้าพเจ้าจึงเห็นภาพสะท้อนแห่งจักรวาล (มายา) เฉกเช่นภาพลวงตาของไข่มุกในหอยมุกชั้นเลิศ ภาพลวงตาที่เห็นเชือกเส้นหนึ่งเป็นงูพิษ และภาพลวงตาของพรายน้ำในเปลวแดด

2.10

เปรียบประหนึ่ง หม้อดินที่ได้กลับคืนสู่ดิน, คลื่นที่หวนคืนสู่แหล่งน้ำ, กำไลที่กลับคืนสู่ทองคำ ทั้งจักรวาลก็ได้กลับมาสู่ข้าพเจ้าเฉกเช่นกัน

2.11

น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ขอเทิดทูนตัวตนที่แท้จริงของข้าพเจ้าซึ่งไม่เสื่อมสลายและไม่ตายดับ แม้ว่าจักรวาลทั้งหมด (นับแต่ยอดหญ้าจนถึงชั้นพรหม) จะแตกดับสูญสลายไป

2.12

น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ขอเทิดทูนตัวตนที่แท้จริงของข้าพเจ้า แม้ด้วยกายหยาบ ข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียว ข้าพเจ้ามิต้องยาตราไปที่ใด เพราะข้าพเจ้าสถิตอยู่ทุกหนแห่งในเวลาเดียวกัน

2.13

น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ขอเทิดทูนตัวตนที่แท้จริงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตกตะลึงในอำนาจอันสุดประมาณนี้ จักรวาลปรากฏในข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าก็มิได้แทรกแซงสิ่งใด

2.14

น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ขอเทิดทูนตัวตนที่แท้จริงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคือทุกสิ่งเท่าที่ความคิดและคำพูดจะอาจเอื้อมไปถึง (เพราะจักรวาลทั้งหมดสร้างจากอาตมันเช่นเดียวกัน) และข้าพเจ้าก็มิได้ยึดถือสิ่งใด (เพราะอาตมันนั้นไม่อาจถูกยึดถือโดยผู้ใด)

2.15

ในความเป็นจริง ความรู้, ผู้รู้ และ สิ่งที่อาจจะเรียนรู้ได้ สามสิ่งนี้มิได้มีอยู่จริง ข้าพเจ้าคืออาตมันอันใสบริสุทธิ์ไม่อาจถูกทำลาย ในที่ซึ่งสามสิ่งนั้นปรากฏขึ้นมา เมื่อมีความโง่เขลาหรือถูกอวิชชาบดบังให้มืดมิด

(ในญาณวิทยาเราพิจารณาจักรวาลผ่านมายาว่าประกอบด้วยสามสิ่ง คือ ความรู้, ผู้รู้ และ สิ่งที่อาจจะเรียนรู้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาตมันอยู่เหนือสามสิ่งนี้ การตระหนักรู้ที่สุด คือการทำลายความยุ่งเหยิงของสามสิ่งนี้และก้าวข้ามมันไป)

2.16

ความเป็นคู่คือสาเหตุแห่งทุกข์ มีหนทางเดียวที่จะเยียวยา คือการตระหนักว่าสิ่งที่เราเห็นทั้งหมดนั้นคือมายา มีเพียงข้าพเจ้าที่เป็นอาตมัน บริสุทธิ์ มีพุทธิ และมีความสุข

2.17

ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองมีขีดจำกัด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าไร้ซึ่งขอบเขตในการตระหนักรู้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงยึดมั่นอยู่กับความสัมบูรณ์ อันเป็นแก่นแท้ของความจริง (อาตมัน) ข้าพเจ้าคือพุทธิอันบริสุทธิ์

2.18

ข้าพเจ้ามิได้เป็นอิสระแต่ก็มิได้มีพันธะ ข้าพเจ้าได้สิ้นศรัทธาต่อภาพมายาทั้งหลาย แม้ว่าจะมีจักรวาลภายในข้าพเจ้า, แต่มันก็มิได้มีอยู่จริง

(การเห็นจักรวาลในตนคือการมองจากจุดยืนของตัวตนที่เป็น “ข้าพเจ้า” แต่จากจุดสัมบูรณ์นั้น ไม่มีจักรวาลอยู่ มีเพียง อาตมัน เท่านั้น)

2.19

การตระหนักรู้ว่าจักรวาลและตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริง และอาตมันคือการตระหนักรู้อันบริสุทธิ์ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จินตนาการไม่อาจเข้าถึงได้

2.20

ร่างกาย นรก สวรรค์ หรือแม้กระทั่ง การยึดมั่น, อิสรภาพ, ความกลัว มีอยู่เพียงในจินตนาเท่านั้น ข้าพเจ้ามีธรรมชาติเป็น จิต จึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสิ่งเหล่านี้

(ผู้ที่มีธรรมชาติเป็น จิต คือผู้ที่มีมุมมองแบบสัมบูรณ์ หมดสิ้นในความเป็นคู่  [ไม่มีนรก-สวรรค์] แล้ว)

2.21

ข้าพเจ้าไม่เห็นความเป็นคู่อีกต่อไป แม้ในความแตกต่างของมนุษย์อันหลากหลาย ท่ามกลางมวลมนุษย์เหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเสมือนอยู่ในความรกร้างว่างเปล่า เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้ายังควรยึดถือสิ่งใด ?

2.22

ข้าพเจ้าไม่ใช่ตัวตน ข้าพเจ้าไม่มีตัวตน ข้าพเจ้ามิใช่ชีวา (ชีวิตอันมีขีดจำกัด จาก มุมมองของอัตตา) ข้าพเจ้ามีชีวิตที่ตั้งมั่นด้วยพุทธิ และสิ่งนี้คือพันธะเดียวของข้าพเจ้า

2.23

ในข้าพเจ้าคือมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต ซึ่งจะเกิดคลื่นในทันทีที่มีกระแสลมพัด

(มหาสมุทรในกรณีนี้คืออาตมัน, คลื่นเปรียบเสมือนโลกมายา, ลมก็คืออวิชชา, อัตตา เป็นต้น)

หมายถึง อวิชชาเป็นเหตุให้เกิดมายาซึ่งสร้างความปั่นป่วนขึ้น (ในทันที)

2.24

เมื่อคลื่นลมในมหาสมุทรได้สงบลง เรือและพ่อค้าในเรือก็มาถึงกาลอวสาน

(มหาสมุทรคืออาตมัน, คลื่นลมหมายถึงโลกมายา, เรือเปรียบได้กับจักรวาล, พ่อค้าก็คือชีวา)

หมายถึงเมื่อความสงบกลับคืนสู่อาตมัน, โลกมายา จักรวาล และชีวา (ชีวิตอันมีขีดจำกัด) ต่างก็ถูกกลืนหายไป

2.25

ช่างน่าอัศจรรย์ !
ห้วงมหาสมุทรอันไร้ขีดจำกัดในข้าพเจ้านี้ คลื่นแห่งตัวตนได้ก่อตัวขึ้น ปะทะกันเอง และโลดแล่นไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

และในที่สุดก็หายไปตามธรรมชาติของมัน

Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava

Get carried away?

ความรู้เรื่องอัชฌตวกระคีตาเพิ่มเติม

บทก่อนหน้า

previous

กลับไปสารบัญ

index

บทถัดไป

next

คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบทนี้

ภาพลวงตา สิ่งสมมุติ ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดว่ามีตัวตน มีสิ่งใดที่เป็นของข้าพเจ้า มีร่างกายนี้เป็นของข้าพเจ้า จิตใจนี้เป็นของข้าพเจ้า  เป็นต้น

สภาวะที่ความเป็นคู่ได้อันตรธานไป และอาตมัน (self) ส่องแสงรุ่งโรจน์

ความคิดในมุมมองของมายา (อวิชชา) ว่ามีตัวตน มีจักรวาล

มุมมองเชิงเปรียบเทียบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าหรือเลวกว่า เช่น นรก-สวรรค์, ดี-ชั่ว, พึงพอใจ-เจ็บปวด