บทที่ 1
การแสดงธรรมเพื่อประจักษ์ถึงตัวตนอันแท้จริง
เริ่มจากกษัตริย์ชนกถามปราชญ์อัษฏาวกระ ในการบรรลุถึงความรู้, การปล่อยวางและการหลุดพ้น คุรุได้แสดงธรรมนั้นแก่เขา
กษัตริย์ชนก ถาม :
1.1 คุรุ, ข้าพเจ้าจะได้รับความรู้, เข้าถึงการปล่อยวาง และ บรรลุความหลุดพ้น ได้อย่างไร ?
อัษฏาวกระ ตอบ :
1.2
หากท่านแสวงหาความหลุดพ้น พึงหลีกเลี่ยงเป้าหมายอันเป็นผัสสะประหนึ่งเป็นอสรพิษ และค้นหา การให้อภัย, ความจริงใจ, ความกรุณา, ความสันโดษ และ ความจริง ประหนึ่งเป็นน้ำหวาน
1.3
ท่านมิได้เป็น ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม หรืออากาศ
จงตระหนักรู้ถึงตนเองว่าเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ และตระหนักรู้ถึงสติเพื่อที่จะหลุดพ้น
1.4
หากท่านแยกจิตออกจากกายและอยู่อย่างสงบด้วยพุทธิ ท่านก็จะมีความสุข สงบศานติ และ เป็นอิสระจากพันธะผูกพันใดๆ ในทันที
1.5
ท่านมิได้มีฐานะหรือหน้าที่ใด ท่านไร้ตัวตน, ปล่อยวาง, ไร้รูปร่าง ท่านเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ของสรรพสิ่ง จงเป็นสุข
1.6
ไม่ว่าถูกและผิด, พึงพอใจและเจ็บปวด ล้วนเกิดขึ้นในจิตเท่านั้น มิใช่สิ่งที่ท่านเกี่ยวข้อง ท่านมิได้เป็นผู้กระทำหรือสนุกสนานกับสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วท่านจะเป็นอิสระอย่างแน่นอน
1.7
เมื่อท่านเป็นผู้สังเกตการณ์ต่อสรรพสิ่ง ท่านจะเป็นอิสระนิรันดร์ เป็นที่แน่นอนว่าท่านมีเพียงพันธะเดียวต่อจักรวาลนี้คือเป็นผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีพันธะอื่น
1.8
ความคิดที่ว่า “ข้าพเจ้าคือผู้กระทำ” คือพิษร้ายแห่งอสรพิษ การตระหนักรู้ว่า “ข้าพเจ้ามิได้กระทำสิ่งใด” คือน้ำหวานที่ชโลมศรัทธา จงเป็นสุข
1.9
ด้วยไฟแห่งการสำนึกว่า “ข้าพเจ้าคือหนึ่งเดียว (อาตมัน) และบริสุทธิ์ด้วยพุทธิ” ไฟนั้นจะเผาผลาญป่าทึบแห่งอวิชชาซึ่งบดบังหนทาง เป็นการปลดปล่อยจากบาป และทำให้เป็นสุข
1.10
ท่านพ้นจากพันธะ ผาสุกด้วยสติ, บรมสุข – ในที่ซึ่งจักรวาลปรากฏเหมือนภาพลวงตา ลวงให้เห็นว่าเป็นงูพิษทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงเชือกเส้นหนึ่ง จงเป็นสุข
1.11
มันเป็นความจริงที่ผู้คนกล่าวว่า “ท่านเป็นไปตามสิ่งที่ท่านคิด” หากท่านคิดว่าท่านมีพันธะ เช่นนั้นท่านมีพันธะ หากท่านคิดว่าท่านเป็นอิสระ ท่านก็มีอิสระ
1.12
แม้จะดูเหมือนว่าอาตมันได้ขับเคลื่อนโลกผ่านมุมมองแห่งมายา
แท้จริงแล้ว อาตมันคือผู้สังเกตการณ์, แผ่ซ่านไปทั่ว, สมบูรณ์, ไม่อาจถูกแบ่งแยก, เป็นอิสระ, มีพุทธิ, มิได้เป็นผู้กระทำ, ไม่ยึดติด, ไร้ความปรารถนา, สงบนิ่งชั่วนิรันดร์
1.13
จากสมาธิที่ละทิ้งมายาและการปรุงแต่งทั้งภายนอกและภายใน ท่านจะรู้ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผลสะท้อนของอาตมัน” ภาพสะท้อนนั้น ไร้อารมณ์ไม่ไหวติง, มีพุทธิ, ไม่เป็นสิ่งคู่ตรงกันข้าม
1.14
ท่านได้ยึดติดกับความคิดว่า “ข้าพเจ้ามีตัวตน” มาเป็นเวลานาน จงให้ความตระหนักรู้ว่า “ข้าพเจ้าคือจิตที่ตื่นรู้ (พุทธิ)” เป็นดั่งศาสตราที่ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ
1.15
ท่านคือผู้ปล่อยวาง, มิใช่ผู้กระทำ, โชติช่วง และ ไม่มีมลทินมัวหมอง
การบำเพ็ญเพียรเป็นพันธะเดียวที่ท่านคงรักษาไว้
1.16
ท่านคืออาตมันอันแผ่ซ่านไปทั่ว – คือสสารแห่งจักรวาล เช่นนั้นแล้วจักรวาลจึงอยู่ในท่าน แท้จริงแล้วท่านคือสัมปชัญญะบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
จงเปิดใจของท่าน
1.17
ท่านไร้เงื่อนไข, ไร้การเปลี่ยนแปลง, ปราศจากอารมณ์, เป็นพุทธิอันล้ำลึกสุดหยั่งถึง, ไม่ถูกรบกวนใดๆ
ท่านปรารถนาเพียงพุทธิจิตเท่านั้น
1.18
จงรู้ว่า รูปแบบนั้นไม่มีจริง มีเพียงความไร้รูปแบบเท่านั้นที่จีรัง ในทันทีที่ท่านตระหนักรู้ ท่านจะไม่หวนกลับสู่วัฏฏสงสารอีก (การกลับมาเกิดใหม่)
1.19
เฉกเช่นมีกระจกย่อมสะท้อนเงาของภาพให้เห็น (แท้จริงแล้วมีเพียงกระจก, ภาพสะท้อนเป็นเพียงมายา เมื่อมีการยึดถือตัวตนปรากฏขึ้นย่อมเกิดสิ่งที่เพิ่มทับซ้อนบนอาตมัน เป็นสิ่งภายใน [จิต] และสิ่งภายนอกตัวตน [ร่างกาย] นี้)
พระเป็นเจ้าสถิตทั้งภายในและภายนอกร่างกายนี้ (มายาทั้งหลายมิอาจส่งผลใดต่ออาตมัน)
1.20
พรหมมัน (อาตมัน) นั้นเปรียบเช่นสิ่งที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกภาชนะ เป็นนิรันดร์, แผ่ซ่านไปทั่ว ปรากฏในสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน
Ashtavakra Kita (in thai) by Tandhava
คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับบทนี้
การตระหนักถึงอัตลักษณ์ของแต่ละตัวตนที่แตกต่างกัน และตระหนักถึงปรมาตมันหรือพรหมันที่ดำรงอยู่และถูกรู้ และทำให้เกิดความสุขอย่างสมบูรณ์
บรมวิญญาณ อาตมันทั้งหมดที่รวมอยู่ด้วยกัน
อาตมัน
ดวงวิญญาณ ซึ่งในทางศาสนา และปรัชญาฮินดูถือว่าเที่ยงแท้ถาวร
การปล่อยวางจากความรื่นรมย์ทางวัตถุ และอื่นๆ เป็น หนึ่งในสี่คุณลักษณะที่จำเป็นต่อการแสวงหาความรู้ คือ
1. การปล่อยวาง
2. การแยกแยะว่าสิ่งใดจริงและสิ่งลวง
3. การฝึกฝนอายตนะหกประการ
4. การคงสถานะหลุดพ้น
การเป็นอิสระจากอวิชชา พันธะ และข้อจำกัดทั้งปวง สิ่งนี้เป็นผลจากความรู้
อ้างอิงถึงอาศรม 4 ประการคือ
1. พรหมจรรย์ (อัตถะ) คือผู้อยู่ในวัยการศึกษา
2. คฤหัสถ์ (กามะ) คือผู้ครองเรือน
3. วานปรัสถ์ (ธรรมะ) คือผู้แยกตัวออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า
4. สัณยาสี (โมกษะ) คือผู้ออกบวช
สิ่งที่เติบโตขึ้นจากจิตของผู้ที่ตัดสิน และความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราคิดว่าเราเป็นผู้กระทำเท่านั้น
เป็นผลพวงจากการตัดสินว่า ถูกและผิด ซึ่งเกิดขึ้นในจิต
อหังการ (ego) ที่ทำให้จิตอันสูงส่งตาย
สิ่งที่ชุบชีวิตและลบล้างความเจ็บปวด ในความหมายนี้ คือทำลายอหังการ ทำให้ความสูงส่งทางจิตกลับมาอีกครั้ง และยังช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทางโลก
สิ่งที่ได้จากการทำลายเส้นแบ่งความแตกต่างระหว่างทุกสิ่งและทำลายเส้นแบ่งความแตกต่างในทุกคุณลักษณะ