ปรัชญาเวทานตะ
ปรัชญาเวทานตะ
ปรัชญาเวทานตะเป็นระบบที่สำคัญที่สุดในปรัชญาฮินดู
ปรัชญาเวทานตะ หมายถึง (เวท+อันตะ) ส่วนสุดท้าย (ที่สุด) ของพระเวท ซึ่งเดิมคืออุตตรมีมางสา [1] เวทานตะเป็นปรัชญาว่าด้วยความรู้ในตอนท้ายของพระเวทในคัมภีร์อุปนิษัท [2] ปรัชญาเวทานตะเป็นระบบที่สำคัญที่สุดใน 6 ระบบของปรัชญาฮินดู มีแนวความคิดจากคัมภีร์อุปนิษัท ต่อมาได้มีการสรุปย่อในความสำคัญเป็นหนังสือชื่อว่า “พรหมสูตร” โดยพาทรายณะ และพัฒนาต่อไปเป็น ปรัชญาอไทวตะเวทานตะ โดยมี เคาฑปาทะ เป็นอาจารย์คนแรก และได้แต่งหนังสือ อาคมศาสตร์ หรือ เคาฑปาทการิกา ซึ่งนักปรัชญาอินเดียวิเคราะห์ว่า ตำรานี้ได้รับอิทธิพลจาก พรหมสูตร อุปนิษัท ภควัทคีตา รวมทั้งพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ที่ต้องกล่าวถึงท่านเคาฑปาทะ เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์ของโควินทะปาทะ ซึ่งเป็นอาจารย์ของ “ศังกราจารย์” ซึ่งมีชื่อเสียงมากแห่งสำนักปรัชญาเวทานตะ
เมื่อเวทานตะเป็นชื่อหนึ่งของอุปนิษัท เรามาดูความหมายของคำว่าอุปนิษัท หมายถึง “สิ่งที่ทำให้คนเข้าไปใกล้พระผู้เป็นเจ้า” หรือ “การเข้าไปนั่งใกล้ครู” เพราะเรื่องราวในอุปนิษัทเป็นเรื่องลึกลับ เข้าใจยาก ผู้เรียนจึงต้องเรียนกับครูแบบตัวต่อตัว และเป็นศิษย์ที่ครูได้คัดเลือกแล้ว อุปนิษัทเป็นคัมภีร์ที่แสดงความลับ (รหัสยะ) ของพระเวท บางทีจึงเรียกว่า เวโทปนิษัท แปลว่า ความลึกลับของพระเวท คัมภีร์นี้กล่าวถึงเรื่องที่เรียนรู้ได้ยาก คือ เรื่องอาตมัน และพรหมัน หรือปรมาตมัน คัมภีร์อุปนิษัทมีมากมาย ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 108 คัมภีร์ ท่าน “วยาส” เป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของสำนักปรัชญาเวทานตะ ทั้งที่เป็นฆราวาส (ผู้ครองเรือน ไม่ใช่นักบวช) แต่สามารถแต่งคัมภีร์อธิบายความรู้ปรัชญาของพระเวทได้ชัดเจนที่สุด [3]

ปรัชญาเวทานตะ เป็นพัฒนาการของปรัชญาพระเวทและวิวัฒนาการของปรัชญาจิตนิยมของพวกพราหมณ์อารยัน เวทานตะมิได้ทิ้งคำสอนของสางขยะและไวเศษิกะ แต่ได้แสดงความคิดไว้อย่างชัดแจ้งมาก [4] ทั้งยังผนวกเอาปรัชญาต่างๆ ทั้งในศาสนาพรหมณ์และนอกศาสนาพราหมณ์ จากการตรวจเนื้อความแล้วเชื่อได้ว่าปรัชญาเวทานตะหรือพรหมสูตร น่าจะรวบรวมขึ้นหลังพุทธกาลกว่า 500 ปี เพราะมีข้อความเกี่ยวกับปรัชญามหายานและพุทธปรัชญาด้วย ปรัชญาเวทานตะสร้างความมั่นคงให้แก่ศาสนาที่ปรับปรุงใหม่อย่างยิ่ง มีความลึกซึ้งกว้างขวาง ศาสนาพราหมณ์จึงเปลี่ยนสภาพเป็นศาสนาฮินดูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และยังทำให้ลัทธิอื่นๆ [5] ยอมรวมตัวเข้ากับศาสนาฮินดู และปรัชญาเวทานตะก็กลายเป็นปรัชญาของชมพูทวีปในเวลาต่อมา
คัมภีร์ความรู้ของปรัชญาเวทานตะ ได้ถูกรวบรวมแก้ไขโดยท่านวยาส ต่อมาได้ฉายาว่า “เวทวยาส” เพราะท่านได้รวบรวมแก้ไขและเขียนตำราต่างๆ มากมาย คือ ปุราณะทั้ง 18 มหาภารตะ ภควัทคีตา พรหมสูตร อุตตรมีมางสา และจัดพระเวททั้ง 4 [6] ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนเขียนตำราโหราศาสตร์ไว้อีกหลายเล่ม
การเตรียมตัวเพื่อทำลายอวิชชา และประสงค์ต่อการบรรลุญาณ
- ศึกษาพระเวท
- สละกามทั้งปวง แม้แต่การหวังผลในสวรรค์
- ปฏิบัติบูชาด้วยปราณและมโน แน่วแน่อยู่ในพรหม
- ดำเนินตาม 4 วิธีการ
- มองให้ความแตกต่างของสิ่งจริงและสิ่งลวง ต้องเห็นให้ได้ว่าสรรพสิ่งไม่มีจริงนอกเสียจากพรหมัน
- งดเว้นการหวังผลการกระทำทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
- ทำจิตใจให้ปลอดจากความรู้สึกนึกคิด ไม่เห็นความแตกต่างของความเย็นความร้อน ความสุขความทุกข์ ฯลฯ และมุ่งสู่พรหม
- ตั้งความปรารถนายิ่งที่จะหลุดพ้นจากตัวตนของตนเอง และกลืนเข้าในพรหม
การบำเพ็ญเพื่อบรรลุบรมญาณ
- การรับฟังคำสอนของเวทานตะ จดจำคำสอนไว้ในใจ ปฏิบัติและท่องบ่นเป็นนิจ
- สนใจในพระเป็นเจ้า ด้วยการสักการบูชา
- การเพียรเพ่งถึงพระเป็นเจ้า
- การบำเพ็ญญาณ เพื่อให้รู้ว่าพรหมันกับตนเองไม่แตกต่างกัน
- งดเว้นการเบียดเบียน การพูดปด ลักขโมย และไม่เชื่อฟังครูอาจารย์
- นั่งสมาธิ
- บังคับลมหายใจ (ปฏิบัติโยคะ)
- [1] มีมางสามี 2 ส่วนคือส่วนแรกเป็น “ธรรม” หน้าที่และระเบียบปฏิบัติในการบูชา ส่วนที่ 2 เป็น “ปรัชญา” คืออุตตรมีมางสา
- [2] อุปนิษัท เป็นความรู้อันนำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์ ปรัชญาเหล่านี้เป็นพื้นฐานของศาสนาฮินดู https://tandhava.in.th/index.php/philosophy-upanishad/
- [3] อ้างอิงจาก รายงานผลการวิจัยปรัชญาอินเดีย โดย กีรติ บุญเจือ
- [4] อ้างอิงจาก ปรัชญาพราหมณ์สมัยพุทธกาล โดย สมัคร บุราวาส
- [5] ลัทธิที่ประชาชนเลื่อมใสกันมาก คือ ไศวะ (นับถือพระศิวะ) และไวษณวะ (นับถือพระวิษณุ-นารายณ์)
- [6] ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอาถรรพเวท
- อ้างอิงจาก ตำราปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ โดย รศ. นงเยาว์ ชาญณรงค์
“ผู้ใดกระทำกรรมเพื่อเรา ใส่ใจในตัวเรา ภักดีต่อเรา ไม่เห็นแก่ประโยชน์และไม่มีอริต่อสัตว์โลกใดๆ ผู้นั้นแลย่อมมาสู่เรา” ศรีกฤษณ จาก ภควัทคีตา
พระผู้เป็นเจ้า
พระเป็นเจ้าสูงสุด คือ
- ผู้สร้าง ผู้หล่อเลี้ยงธำรงรักษา และผู้ทำลาย
- ผู้ประสาทพระเวทอันเป็นปัญญาสูงสุดให้แก่โลก
- ผู้เป็นเหตุทางวัตถุและทางปัญญา เหตุของโลก เหตุของการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง
- ในโลกนี้มีสิ่งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ไม่มีอะไรอีก สิ่งเดียวคือพระเป็นเจ้าสูงสุด (อทวินิยม)
- เป็นจิตที่รู้สึกนึกคิดและรู้เหตุรู้ผล ทรงปัญญาสูงสุด คือปราณ และอาตมันที่เที่ยงแท้ เป็นอมฤตและมีความสุข
- เป็นสิ่งเที่ยงแท้ แทรกซึม (แผ่ซ่าน) สิ่งทั้งปวง พอพระทัย บริสุทธิ์ อิสระเป็นนิจ
- เลิศสุดด้วยประการทั้งปวง แทรกซึมในกายของเราแต่ละคน สถิตในส่วนลึกที่สุดของสิ่งทั้งปวง ครอบงำและควบคุมโลกให้ดำเนินไป
- ทรงอานุภาพยิ่ง ทรงกระทำการทั้งปวงโดยมิต้องอาศัยเครื่องมือใด ทรงสร้างโลกขึ้นด้วยเจตนารมณ์ของพระองค์เอง
- ไม่มีเบื้องต้น และไม่มีเบื้องปลาย ทรงเป็นนิรันดร์
- เป็นพรหมัน หนึ่งไม่มีสอง ไม่ได้เป็นอื่นจากอาตมันที่สถิตในกาย (อาตมันคือพรหมัน)
อาตมัน / พรหมัน
อาตมัน คือ
- เป็นสิ่งเที่ยงแท้ไม่มีเกิดดับ เป็นสิ่งที่รู้โดยตลอดกาล
- เป็นสิ่งเดียวกับพรหมัน พระเป็นเจ้าสูงสุด จึงมีอนันตสภาพตามไปด้วย
- เมื่อรวมกับเครื่องมือ คืออินทรีย์ อายตนะ ก็มีพฤติกรรม เมื่อวางลงได้ ก็หยุดพักและเบาใจขึ้นได้
- คือผู้เสวยสุข ทุกข์ รู้ และจดจำสิ่งต่างๆ
- อาตมันมากเท่าจำนวนคน แบบ 1:1 เมื่อตายไปอาตมันจะไปถือกำเนิดใหม่ตามกรรมที่ทำไว้
- พรหมันกับอาตมันเป็นอย่างเดียวกัน ที่ต่างกันเพราะอาตมันเข้าใจผิด ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนตามกิเลสที่เข้ามายั่วยวน จึงเกิดอหังการ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา จึงต้องเสวยสุข ทุกข์ เศร้าหมอง ห่างจากพรหมัน และเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ
- เมื่อรู้ชัดว่าตนไม่ใช่ร่างกาย สละละทิ้งกิเลสทั้งหลายได้หมด อาตมันก็จะบรรลุโมกษะ กลับสู่พรหมัน และผู้นั้นก็จะตระหนักรู้ว่าเขาคือพรหมัน
ข้อปฏิบัติ
ชีวาตมัน (วิญญาณ) ห่อหุ้มด้วยกายทั้ง 2 คือ สุขุมสรีระกับสถุลสรีระ (กายทิพย์กับกายหยาบ) เมื่อมรณากายหยาบก็แปรสภาพเป็นธาตุนั้นๆ ตามเดิม ส่วนอาตมันกับกายทิพย์จะไปสู่ชาติหน้า ภพหน้า เพื่อรับกุศลหรือวิบากกรรมที่เคยทำไว้
คนที่ทำบาปจะไปสู่นรกที่มีพญายมคอยดูแล ส่วนคนที่ทำบุญจะไปสู่สวรรค์เบื้องบนเสวยสุข แล้วจึงกลับมาสู่โลกนี้ถือกำเนิดในร่างกายใหม่ และมีการกระทำตามขันธสันดาน (ในวิญญาณ) ที่สืบมาจากภพก่อน
วิธีการบรรลุโมกษะ
- การทำบุญในศาสนา การประกอบพิธีกรรมบูชา การปฏิบัติศาสนกิจ ชำระใจให้บริสุทธิ์ ปฏิบัติตามคำสอนในพระเวท
- ศรัทธาหรือภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ดังที่พระกฤษณะ (อวตารแห่งองค์วิษณุนารายณ์) กล่าวว่า “ผู้ใดกระทำกรรมเพื่อเรา ใส่ใจในตัวเรา ภักดีต่อเรา ไม่เห็นแก่ประโยชน์และไม่มีอริต่อสัตว์โลกใดๆ ผู้นั้นแลย่อมมาสู่เรา”
- ความเข้าใจว่าสรรพสิ่งคือพรหมัน นรชนคือพรหมัน ผู้เที่ยงแท้และเป็นอนันต์