ปรัชญาไวเศษิกะ
ปรัชญาไวเศษิกะ
ไวเศษิกะ (สันสกฤต: वैशेषिक) เป็นหนึ่งในหกโรงเรียนของปรัชญาอินเดีย (ที่อ้างอิงพระเวท) เก่าแก่กว่านยายะ พุทธ และเชน ก่อตั้งโดยมหาฤๅษีกณาท หรือ กาศยัป
ไวเศษิกะมีความหมายว่า “มีลักษณะพิเศษ” ในระยะแรกไวเศษิกะเป็นปรัชญาอิสระที่มีอภิปรัชญา ญาณวิทยา ตรรกะ จริยธรรม และวิทยาศาตร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไวเศษิกะก็เริ่มมีความคล้ายคลึงกันในขั้นตอนทางปรัชญา ข้อสรุปทางจริยธรรม และ โสตถิวิทยา (soteriology) กับปรัชญานยายะ แต่ยังคงมีความแตกต่างในญาณวิทยาและอภิปรัชญา [1]

ไวเศษิกะ คือ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติของอารยธรรมโบราณ
ต่อมาไวเศษิกะได้รับเอาตรรกวิทยาและญาณวิทยาของนยายะมาใช้ และนยายะก็ได้อ้างอิงอภิปรัชญาของไวเศษิกะเช่นกัน สองสำนักนี้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด จึงได้ชื่อรวมว่า “สำนักปรัชญานยายะ-ไวเศษิกะ”
สมัยศตวรรษที่ 17 Max Miller นักวิทยาศาสตร์สังคมชาวเยอรมันได้เขียนบทความเกี่ยวกับตรรกวิทยาของชาวอินเดีย (หลักปรัชญานยายะ-ไวเศษิกะ) เผยแพร่ในยุโรป และยังมีชาวเยอรมันแปลพระสูตร คัมภีร์ วรรณกรรมต่างๆ เกี่ยวกับตรรกะวิทยาของอินเดีย จึงอาจกล่าวได้ว่า ตรรกวิทยาของอินเดียมีผลต่อรากฐานความคิดของปราชญ์ชาวตะวันตกตั้งแต่นั้นมา
ความรู้เรื่องปทารถะของไวเศษิกะเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์มีความละเอียดลึกซึ้งจนถึงขั้นอะตอม (atom) เป็นทฤษีปรมาณูตำรับแรกของโลก [2] นอกจากนี้ยังมีความรู้ด้านต่างๆ เช่น พลังงาน ปรากฏการณ์ ที่อธิบายด้วยความเป็นจริงในแบบวิทยาศาสตร์และกายภาพ ไปจนถึงเรื่อง อาตมัน และการตระหนักรู้สัจธรรม พระเป็นเจ้า ไปจนถึงการหลุดพ้น ไวเศษิกะจึงเป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติของอารยธรรมโบราณ และมีคำสอนของไวเศษิกะว่า “กรรมทั้งหลายย่อมก่อให้เกิดวิบาก คือ ผลของกรรม แต่กรรมบางอย่างรออยู่เป็นพลังที่แฝงตัวและจะยังผลในภายภาคหน้า”
[1] ญาณวิทยาที่แตกต่างกัน นยายะเชื่อว่าประมาณ (แหล่งความรู้) มีประจักษ์ประมาณ อนุมานประมาณ อุปมานประมาณ และศัพทประมาณ แต่ ไวเศษิกะเชื่อว่ามีแหล่งความรู้มีเพียงประจักษ์ประมาณ และอนุมานประมาณ เพราะอุปมานและศัพท นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอนุมานประมาณนั่นเอง ; อภิปรัชญาที่แตกต่างกัน เรื่องราว (ปทารถะ) ทั้งหมดที่เป็นอารมณ์ของความรู้ นยายะเชื่อว่ามี 16 อย่าง ไวเศษิกะเชื่อว่ามี 7 อย่าง ซึ่งรวมความสำคัญของนยายะไว้ทั้งหมด คือ ทรัพย์ (ธาตุ) คุณ (ลักษณะ) กรรม (พฤติกรรม) สามานยะ (ประเภท) วิเศษะ (ลักษณะพิเศษ) สมวายะ (ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด) และอภาวะ (ความสูญ)
[2] อะตอมหรือเรียกว่าปรมาณู (อนูที่เล็กมาก) ซึ่งแตกต่างไปจากทรรศนะของกรีก เช่น เดโมครีตัสเห็นว่าปรมาณูทั้งหมดเหมือนกันในทางคุณภาพ แต่ต่างกันในทางปริมาณ แต่ไวเศษิกะเห็นว่าปรมาณูนั้นแตกต่างกันทั้งทางคุณภาพและปริมาณ
อ้างอิงจาก ตำราปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ โดย รศ.นงเยาว์ ชาญณรงค์
“กรรมทั้งหลายย่อมก่อให้เกิดวิบาก คือ ผลของกรรม"
แนวคิด
ปรัชญาไวเศษิกะเป็นพจุสัจจนิยม ว่าด้วยเรื่องความเป็นจริง ไวเศษิกะเชื่อว่าแหล่งความรู้มีเพียงประจักษ์ประมาณ และอนุมานประมาณ ไวเศษิกะมีการศึกษาสิ่งต่างๆ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ มีการศึกษาเรื่องโลก และ ปทารถะ (ความรู้ที่แสดงได้ด้วยคำพูด)
หลักการ
โลกและปทารถะ
โลกเกิดจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ โลกอุบัติหรือสลายด้วยประสงค์ของพระเจ้า
- โลกอุบัติจากพลังกรรม บุญและบาปเป็นพลังทิพย์ตามกรรม
- โลกสลายเพราะธาตุทั้ง 4 แยกออกจากกัน
ปทารถะ ความรู้ที่แสดงได้ด้วยคำพูด มี 7 อย่าง
- ทรัพย์ คือสิ่งที่รองรับคุณ (คุณสมบัติ) และกรรม (ความประพฤติ) ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ กาละ เทศะ อาตมัน
- คุณะ คือคุณสมบัติ มีลักษณะคงที่ ตั้งอยู่ในทรัพย์ เช่น รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ จำนวน ขนาด ความถ่วง ความสุข ความพยายาม ความดี ความรู้ เป็นต้น
- กรรม (อากัปกิริยา) คือความเคลื่อนไหว เช่น ขึ้น ลง หด ขยาย เป็นต้น
- สามานยะ (ลักษณะสามัญ) คือลักษณะสามัญอยู่ประจำที่ และเที่ยงแท้ถาวร แม้ตายไปก็ไม่สลายไปด้วย
- วิเศษ (ลักษณะพิเศษ) คือลักษณะพิเศษที่อยู่ประจำในสสารส่วนที่เล็กที่สุด (อะตอมหรือปรมาณู)
- สมวายะ (ความสัมพันธ์) คือความสัมพันธ์ถาวรที่แยกไม่ออกระหว่าง 2 สิ่ง
- อภาวะ (ความไม่มี) คือแม้แต่สิ่งที่ไม่มีอยู่ ก็เป็นความจริงด้วย
นยายะ-ไวเศษิกะ
ทั้งสองปรัชญาสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด จนกลายเป็นระบบปรัชญาเดียวกัน มีการพัฒนาต่อมาและแสดงทรรศนะเป็นอิสระแยกออกจากปรัชญาอินเดีย ทำให้นักปรัชญาอินเดียให้ความสนใจลดลงเป็นเพียง “ตรรกศาสตร์” ซึ่งเป็นส่วนประกอบในการศึกษาปรัชญาอื่นๆ ทั่วไป
ไวเศษิกะพิจารณาเรื่อง “สัจจภาพ” หรือสิ่งที่มีอยู่จริง ส่วนนยายะพิจารณาเรื่อง “ความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่จริง” ทั้งสองมีทรรศนะสอดคล้องกันในเรื่องพันธะและความหลุดพ้น ว่า
- ชีวิตในโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เชื่อเรื่องกรรม ผลของบุญและบาป การเวียนว่ายตายเกิดเป็นการติดข้องเพราะอวิชชา
- จุดมุ่งหมายคือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นโมกษะ