ปรัชญามีมางสา

ปรัชญามีมางสา

มีมางสา (मीमांसा) เป็นคำภาษาสันสกฤตที่แปลว่า “การไตร่ตรอง” หรือ “การสอบสวนเชิงวิพากษ์” ซึ่งหมายถึงการไตร่ตรองพระเวท ประชญามีมางสาเชิดชูพระเวทและมีทรรศนะทางจิตนิยมฝ่ายพราหมณ์ เป็นการโต้กลับปรัชญานาสติกะที่ปฏิเสธพระเวท

มหาฤๅษีไชมินี ผู้รจนา มีมางสาสูตร (ไชมินีสูตร) [1] เป็นศิษย์ของมหาฤๅษีนวยาส ซึ่งได้รับคัมภีร์สามเวทจากอาจารย์และประกาศเผยแพร่และสอนคัมภีร์นั้น เป็นผู้ก่อตั้งสำนักปรัชญามีมางสา

ปรัชญามีมางสากล่าวถึงพระเวทเป็น 2 ตอน คือ “กรรมกัณฑ์” ในตอนต้น ว่าด้วยเรื่องหลักระเบียบและหน้าที่ กล่าวถึง กรรม พิธีกรรม การบูชายัญ การสรรเสริญพระเจ้า และในตอนปลายของพระเวท เต็มไปด้วยเนื้อหาปรัชญาฮินดู และคัมภีร์อุปนิษัท เรียกกันว่า “ชญาณกัณฑ์”

ปรัชญามีมางสายกย่องเชิดชูพระเวทว่าสมบูรณ์ปราศจากข้อผิดพลาด มาจากพระเจ้า เป็นของเที่ยงแท้ มหาฤๅษีผู้รจนาพระเวทเป็นเพียงผู้รับทราบพระเวทด้วยการดลใจ สิ่งที่พระเวทอนุญาตคือ “ธรรม” สิ่งที่พระเวทห้ามคือ “อธรรม” ที่บุคคลควรละเว้น การปฏิบัติบูชาเพทยดาตามพีธีกรรมในพระเวทจะได้กุศลและเป็นหน้าที่ เรียกว่า ธรรมที่ต้องปฏิบัติ

จุดหมายสูงสุดของปรัชญามีมางสาคือการไปเกิดในสวรรค์ ทิพยสถาน ในยุคต่อมาถือว่าเป็นโมกษะ (ความหลุดพ้น) ไม่ใช่เพื่อความสุข แต่เป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

tree, root, forest

พระเวทนั้นสมบูรณ์ ปราศจากข้อผิดพลาด มาจากพระเจ้า เป็นของเที่ยงแท้

มีมางสาแตกออกเป็น 2 นิกายคือ ประภากร และ กุมาริล ตามชื่อของอาจารย์ 2 ท่านนี้ ท่านกุมาริลนี้เองที่ต่อสู้และขจัดอิทธิพลของพุทธศาสนาในอินเดีย และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมสูญไปจากอินเดีย ปรัชญามีมางสาและพุทธศาสนาเปรียบเหมือนราชสีห์ 2 ตัวอยู่ในถ้ำเดียวกัน ต่อสู้ห้ำหั่นกันจนหมดแรงไปทั้งคู่ เพราะหลังจากสิ้นท่านกุมาริลแล้ว มีมางสาก็เสื่อมโทรมลง เช่นเดียวกับพุทธศาสนาในอินเดีย ส่วนท่านศังกราจารย์ [2] เป็นเพียงผู้ซ้ำเติมพุทธศาสนาที่อ่อนแอลงให้หมดอิทธิพลไปจากอินเดียเร็วขึ้นอีก

ปรัชญามีมางสา และ ปรัชญาเวทานตะ สัมพันธ์กัน

  • มีมางสาพัฒนาควบคู่กับเวทานตะ เป็นพื้นฐานของกันและกัน
  • เวทนาตะเป็นปรัชญาที่สืบเนื่องจากมีมางสา
  • เวทานตะมุ่งตอนปลายของพระเวท “ชญาณกัณฑ์” คือปรัชญา แต่มีมางสาเน้นเรื่อง “ธรรม” (กรรมกัณฑ์) คือหน้าที่
  • เวทานตะเน้นการคิดหาความรู้ (อุปนิษัท)
  • ทั้งมีมางสาและเวทานตะ เชื่อว่าพระเวทนั้นเที่ยงแท้
  • มีมางสาเชื่อว่าพระเจ้ามิได้สร้าง ทำลายโลก แต่เวทานตะเชื่อเช่นนั้น
  • มีมางสาเชื่อว่าโลกมีอยู่จริง (มิใช่มายา) แต่เวทานตะเชื่อว่าโลกคือมายาของพระเป็นเจ้า
  • นักปรัชญามีชื่อเสียงของมีมางสา คือ ประภากร และ กุมาริล
  • นักปรัชญามีชื่อเสียงของเวทานตะคือ ศังกราจารย์ และ รามานุช
  • ทั้งมีมางสาและเวทานตะได้รับอิทธิพลเรื่องตรรกจากปรัชญานยายะ
  • ทั้งมีมางสาและเวทานตะมีส่วนสำคัญในการทำลายปรัชญาพุทธในอินเดีย
  • เวทานตะเชื่อว่าอาตมันกับพรหมันต่างกันที่ส่วนประกอบภายนอก แต่มีเนื้อแท้เป็นอย่างเดียวกัน และคุณสมบัติที่สำคัญคือวิญญาณ
  • มีมางสาถือว่าการทำดีตามหน้าที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น แต่เวทานตะถือว่าการปฏิบัติโยคะจะนำไปสู่การหลุดพ้น

โมกษะในทรรศนะของปรัชญามีมางสา หมายถึง สภาวะที่วิญญาณหรืออาตมันหลุดพ้นจากกฎของกรรมและกิเลส อาตมันไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป แต่จะคงสภาพเดิมคือบริสุทธิ์อยู่เหนือความสุขเหนือความทุกข์ เป็นสภาพที่มีอยู่และเป็นนิรันดร์ ต่างกับ นิพพานของพุทธศาสนา ที่เป็นการดับทุกข์ทั้งปวงเพราะสิ้นกิเลส จิตที่ถึงสภาวะนิพพานไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่มิได้คงอยู่เป็นนิรันดร์ แต่ไม่สูญ เพราะจิตเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย มิได้มีอยู่เดิมอย่างเช่นอาตมัน จิตเกิดเองได้ตามเหตุปัจจัยของจิต เมื่อเหตุปัจจัยสิ้นไป ก็ไม่ทำให้จิตเกิดได้อีก เหมือนไฟที่ดับมอดเพราะสิ้นเชื้อ

[1] มีมางสาสูตรเป็นคัมภีร์ทางปรัชญาที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย มีถึง 1000 หัวข้อ ว่าด้วย “ธรรม” อันเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ควรทำและต้องทำ

[2] ท่านศังกราจารย์ คือเจ้าลัทธิ “อไทฺวตะเวทานตะ”

อ้างอิงจาก ตำราปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ โดย รศ. นงเยาว์ ชาญณรงค์

แนวคิด

ความรู้ของปรัชญามีมางสาประกอบด้วยความรู้ตรงและความรู้โดยอ้อม แหล่งความรู้มี 6 ประมาณ คือ

  1. ประจักษประมาณ
  2. อนุมานประมาณ
  3. อุปมานประมาณ
  4. ศัพทประมาณ (4 ประมาณแรกเหมือนกับปรัชญานยายะ)
  5. อรรถาปัตติ (สมมุติฐานที่จำเป็นสำหรับพิจารณาตัดสินข้อเท็จจริง) และ
  6. อนุปลัพธิ (ความรู้เกี่ยวกับความไม่มี ไม่ปรากฏของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง)

มีมางสาเชื่อว่ามี ศักติ (อำนาจ) ในทางก่อซึ่งมองไม่เห็น แต่อยู่ในสิ่งต่างๆ เช่น พลังไฟ แสง เมล็ดพืชที่งอกได้ ทฤษฎีอาตมันของมีมางสา เชื่อว่า อาตมันหรืออัตตาเป็นผู้กระทำและเสวยกรรม เป็นอมตะ มีจำนวนมากเท่าคนและสัตว์

อาตมันนั้นมี 2 แบบคือไม่หลุดพ้น (พัทธชีพ) และ หลุดพ้น (มุกขชีพ)

หลักการ

ปรัชญามีมางสาเชื่อว่าโลกและสิ่งต่างๆ มีอยู่จริง (มิใช่มายา อย่างที่เวทานตะเชื่อ) สวรรค์ วิญญาณ นรก ทวยเทพ ต่างๆ เป็นผู้รับเครื่องบูชายัญ มีอยู่จริง และ เชื่อว่าธรรมะและโมกษะ (การหลุดพ้น) จะรู้ได้ด้วยการศึกษาพระเวทเท่านั้น

มีมางสาเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พระเจ้ามิได้สร้างโลก โลกมีมานานแล้วจากสสาร (ธาตุทั้ง 4) ตามกฎแห่งกรรม ถ้าบุคคลประกอบพิธีตามพระเวทจะแสดงผลที่ดีในกาลอันควร

ข้อปฏิบัติ

ปรัชญามีมางสาเชื่อว่า

  1. ชีวิตดำเนินไปด้วยดีถ้าศรัทธาและปฏิบัติตามพระเวท
  2. การทำดี ทำตามหน้าที่ คือการกระทำดีที่ไม่หวังผลตอบแทน
  3. กฎแห่งกรรมเป็นธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้า
  4. จุดสุดยอดของชีวิตคือไปสู่สวรรค์ โดยปฏิบัติตามพิธีกรรมตามพระเวท
  5. พระเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างและทำลายโลก

โมกษะในทรรศนะของปรัชญามีมางสา หมายถึง สภาวะที่วิญญาณหรืออาตมันหลุดพ้นจากกฎของกรรมและกิเลส อาตมันไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป แต่จะคงสภาพเดิมคือบริสุทธิ์อยู่เหนือความสุขเหนือความทุกข์ เป็นสภาพที่มีอยู่และเป็นนิรันดร์