ดาวมฤตยู

เหตุผลที่นักพยากรณ์ต้องรู้เรื่องดาว
สวัสดีค่ะ พบกับทีมงานตาณฑวะ ในรายการ “คุยเรื่องดาว เล่าเรื่องดวง” วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับดาวมฤตยูกันค่ะ ดาวมฤตยูเป็นตัวแทนของความเชื่องช้า เซื่องซึม ความหม่นหมอง โรคร้าย และ ความตาย เปรียบเหมือนเงามืดที่คืบคลานอย่างเชื่องช้า โคจรไปถึงที่ใดก็เป็นเวลาที่เคราะห์กรรมตามมาคิดบัญชี เราจึงควรศึกษาเรื่องราวของดาวมฤตยู เพื่อให้รู้รายละเอียดต่างๆ จะได้นำไปใช้ในการพยากรณ์ให้แม่นยำ และสามารถแนะนำผู้ที่มาตรวจดวงชะตาให้ผ่อนผันบรรเทาผลจากดาวมฤตยูลงไปได้บ้าง
ตามตำราโหราศาสตร์กล่าวว่า “ภัยอาเพศทายมฤตยู” ดาวมฤตยูจึงเป็นดาวแห่งเคราะห์กรรม เปรียบเทียบได้กับเงามืด ทำลายอานุภาพของดาวอื่นๆ ที่มฤตยูไปกระทบ ให้ส่งผลผิดเพี้ยนอาเพศไป โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง คือทำให้อาเพศได้หมดทุกดาว
ดาวมฤตยูเป็นดาวที่โคจรช้าที่สุดในระบบสุริยะ ประมาณ 7 ปี ต่อ 1 ราศี และเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” โหราจารย์อธิบายไว้ว่า หากชะตาชีวิตของคน ถูกกำหนด Timeline ใหญ่ๆ ด้วยเคราะห์กรรมที่ทำมา เราดูการโคจรของมฤตยู (ชั่ว 7 บวก ดี 7) รวมเป็น 14 ราศี เมื่อมฤตยูโคจรครบ 14 ราศี จึงคำนวณเวลาได้เท่ากับ (14 ราศี) คูณ (7 ปี) เท่ากับ 98 ปี ก็สิ้นอายุขัยของบุคคลคนหนึ่งนั่นเอง
ดาวมฤตยูในทางวิทยาศาสตร์
ในทางวิทยาศาสตร์ ดาวมฤตยูคือดาวยูเรนัส (Uranus) เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 7 ในระบบสุริยะ ยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์แก๊ส มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากดาวพฤหัส และ ดาวเสาร์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50,724 กิโลเมตร ยูเรนัสถูกตั้งชื่อตามเทพเจ้าอูรานอส (Ouranos) ของกรีก (สัญลักษณ์แทนดาวยูเรนัส คือ หรือ สัญลักษณ์ดาราศาสตร์ดาวยูเรนัส )
ดาวยูเรนัสถูกค้นพบ ในปี พ.ศ. 2324 โดย เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล (Sir William Herschel) ส่วนวงแหวนและดวงจันทร์บริวารถูกค้นพบในภายหลัง ดาวยูเรนัสมีชั้นบรรยากาศที่ประกอบด้วยไฮโดรเจน ฮีเลียม แอมโมเนีย และมีเทน แก๊สมีเทนดูดกลืนแสงสีแดงจากดวงอาทิตย์ ทำให้เราเห็นสีของดาวยูเรนัสมีสีน้ำเงิน-เขียว อุณหภูมิพื้นผิวอยู่ที่ประมาณ -224 องศาเซลเซียส ซึ่งหนาวเย็นมาก เนื่องจากอยู่ไกลดวงอาทิตย์ ดาวยูเรนัสแผ่ความร้อนออกจากตัวดาวน้อยมาก นักดาราศาสตร์คาดว่าเป็นเพราะภายในดาวไม่มีการยุบตัวแล้ว หรืออาจมีบางอย่างได้ปิดกั้นไว้แต่ก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด แกนของดาวยูเรนัส น่าจะมีลักษณะคล้ายกับดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดี คือเป็นหินแข็งเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 17,000 กิโลเมตร ล้อมไปด้วยชั้นของเหลวที่ประกอบไปด้วยนํ้าและแอมโมเนีย
ดาวยูเรนัสโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 84 ปี แกนของดาวทำมุม 98 องศา กับระนาบระบบสุริยะ (ซึ่งเกือบจะตั้งฉาก ต่างกับดาวดวงอื่นๆ ที่มีแกนหมุนขนานกับระนาบโคจร) ทำให้ด้านหนึ่งจะมีฤดูหนาว 42 ปี และอีกด้านจะร้อนนาน 42 ปี บางที่บนดาวพระอาทิตย์จะไม่ตกเลยตลอด 42 ปี และบางที่ก็จะไม่ได้รับแสงเลยตลอด 42 ปี พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์แผ่มาน้อยมาก จึงทำให้กลางวันและกลางคืนของดาวยูเรนัสมีอุณหภูมิต่างกัน 2 องศาเซลเซียสเท่านั้น การหมุนรอบตัวเองของดาวยูเรนัสยังตรงข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ คือหมุนไปในทิศตามเข็มนาฬิกาเหมือนกันกับดาวศุกร์ ดาวยูเรนัสมีวงแหวนที่มืดมาก และมีดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 27 ดวง
มฤตยูในทางคติโรมัน
มฤตยูเมื่อเทียบกับความเชื่อทางตะวันตกแล้ว เทียบได้กับ “อูรานอส” ในเทพปกรณัมกรีก หรือ “ยูเรนัส” ในทางคติโรมัน เป็นเทพแห่งท้องฟ้า เล่ากันว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น ทุกอย่างในจักรวาลยังสับสนอลหม่านไปหมด ในความมืดมิดของจักรวาลอันกว้างใหญ่ สรรพสิ่งรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว เราเรียกสิ่งนี้ว่า เคออส (Chaos) และหลังจากนั้นนานมากๆ โลกหรือแผ่นดินก็ได้อุบัติขึ้น โลกเป็นมารดาของทุกสรรพสิ่ง เรียกว่า ไกอา (Gaea) และในครั้งนั้นสวรรค์ก็ได้อุบัติขึ้น ซึ่งก็คือ อูรานอส (Ouranos)
เทพอูรานอส กับ พระมารดาไกอา ได้ให้กำเนิดโอรสและธิดา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มไททัน (Titan) มี 12 องค์
- กลุ่มไซคลอปส์ (Cyclops) มี 3 องค์
- กลุ่มเทพอสูร มี 3 องค์
บุตรทั้ง 3 กลุ่ม มีร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังมหาศาล และมีฤทธิ์เดชมาก กลุ่มไททันเป็นยักษ์ กลุ่มไซคลอปส์เป็นยักษ์ตาเดียว และกลุ่มเทพอสูรแต่ละองค์มี 50 เศียร และ 100 กร อูรานอสไม่พึงพอใจในบุตรเหล่านี้และเกรงว่าจะมาก่อกบฎแย่งอำนาจของตน อูรานอสจึงได้กักขังบุตรทั้งหลายไว้ในคุกที่ขุมนรกทาร์ทารัส สร้างความเจ็บแค้นให้กับพระนางไกอาเป็นอย่างมาก
พระนางไกอาจึงยุยงส่งเสริมให้บุตรทั้งหลายก่อกบฎ มีเพียงองค์เดียวที่กล้าก่อกบฎและทำได้สำเร็จคือ เทพโครนอส (Cronus) พระนางไกอาได้มอบเคียวให้โครนอสใช้เป็นอาวุธสังหารบิดา และโครนอสก็ปกครองสวรรค์ในยุคต่อมา
มฤตยูในคติฮินดู
มฤตยู (สันสกฤต: मृत्यु) ในภาษาสันสกฤตหมายถึงความตาย ในคติฮินดูมีการกล่าวถึง มฤตยูเทวี หมายถึง เทพีแห่งความตาย พระนางยังได้รับการสักการะบูชา แต่คนนิยมน้อยมาก มฤตยูเทวีมีพระนามอื่นคือ มารเทวี และ ยมศักติ หรือ เป็นพลังของพระยม เนื่องจากมฤตยูเทวีเป็นชายาของพระยม หรือ มัจจุราช เทพเจ้าแห่งนรกและความตาย
ในคติฮินดูไม่กล่าวถึงมฤตยูในรูปของเทวดานพเคราะห์ และ โหราศาสตร์ภารตะ ก็ไม่ได้กล่าวถึงดาวเกตุ และดาวมฤตยู ไว้เช่นกัน คติฮินดูนับถือ “พระศิวะ” หนึ่งในตรีเทพสูงสุด ว่าเป็นเทพผู้ทำลาย ทรงหลุดพ้น และเป็นความว่างเปล่า โหราจารย์หลายท่านจึงมักแนะนำให้บูชาพระศิวะเมื่อมฤตยูจรเข้ามาถึงลัคนา
ในตำราโลกธาตุก็เปรียบ “มฤตยู” เป็นความว่างเปล่าหรือ “อากาศธาตุ” ของจักรวาลทั้งหมด และเทวดาที่ครองธาตุนั้นเป็นดาวดวงหนึ่ง เรียกว่า “ดาวมฤตยู” เกิดขึ้นก่อนธาตุทั้ง 4 กอง คือ เตโชธาตุ ปฐวีธาตุ วาโยธาตุ และ อาโปธาตุ หรือ ไฟ ดิน ลม น้ำ ด้วยเหตุนี้ ดาวมฤตยู จึงมีความพิเศษกว่าดาวดวงอื่นๆ เพราะมีความยิ่งใหญ่เปรียบได้กับจักรวาลเลยทีเดียว
ดาวมฤตยูในทางโหราศาสตร์
ในวิชาโหราศาสตร์ไทยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่มีการกำหนดหรือนิยามดาวมฤตยูไว้ สังเกตุได้จากการสถาปนากรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 จะใกล้เคียงกับปี พ.ศ. 2324 ที่เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล เพิ่งจะค้นพบดาวมฤตยู และดวงจักรราศีของเมืองกรุงเทพฯ ก็มิได้ระบุดาวมฤตยูไว้ในดวงฤกษ์ ในวาระต่อมาสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นยุคทองของวิชาโหราศาสตร์ เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก ทรงสามารถคำนวณวันเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาล่วงหน้าถึง 2 ปี ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ในรัชกาลนี้ได้มีการบรรจุดาวมฤตยูเข้าในวิชาโหราศาสตร์ไทย ดังนั้น ภายหลังเมื่อคำนวณตำแหน่งดาวมฤตยูในวันสถาปนากรุงเทพฯ แล้ว โหราจารย์จึงได้ใส่ดาวมฤตยูไว้ในดวงเมืองที่ราศีมิถุน และใช้กันต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในโหราศาสตร์ไทย มฤตยูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๐ (เลขศูนย์ไทย)
ความเชื่อเรื่องภัยอาเพศของดาวมฤตยู
ความเชื่อเรื่องภัยอาเพศของดาวมฤตยูถูกตอกย้ำจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย เมื่อดาวมฤตยูโคจรเข้าราศีเมษ ทับลัคนาดวงเมืองนับตั้งแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ถึง 3 ครั้ง ดังนี้
- ครั้งที่ 1 ช่วงปีพ.ศ. 2392-2399 ช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ถึง ต้นรัชกาลที่ 4 เกิดการผลัดแผ่นดินครั้งสำคัญนอกจากเปลี่ยนรัชกาลแล้ว ยังนับเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ เพราะพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงเป็นผู้นำพาสยามเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในอุษาคเนย์ของจักรวรรดินิยมตะวันตก (อ้างอิงจากบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับราชสำนักสยาม ของ ดร.มัลคอล์ม สมิธ แพทย์ชาวอังกฤษ หรือ หมอสมิธ) ในช่วงเวลานั้นประเทศสยามได้เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่ เปลี่ยนแปลงความคิดและค่านิยมของชาวสยามไปอย่างไม่ทิ้งเค้าเดิม
- ครั้งที่ 2 ช่วงปีพ.ศ. 2475-2482 ปลายรัชกาลที่ 7 ถึง ต้นรัชกาลที่ 8 เกิดเหตุการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 หรือ การอภิวัฒน์สยาม เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนที่เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร” ในช่วงเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ และประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก
- ครั้งที่ 3 ช่วงปีพ.ศ. 2559-2565 ปลายรัชกาลที่ 9 ถึง ต้นรัชกาลที่ 10 เกิดการผลัดแผ่นดิน สร้างความเศร้าโศกใหญ่หลวงให้กับปวงชนชาวไทย อีกทั้งยังเกิดโรคระบาดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ติดต่อกันถึง 3 ปี
จะสังเกตได้ว่า ทุกครั้งที่ดาวมฤตยูโคจรเข้าทับลัคนาดวงเมืองกรุงเทพที่ราศีเมษ จะเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างรัชกาลทั้งสิ้น อีกทั้งส่งผลให้เกิดการปฏิวัติทางความคิด สังคม และอุดมการณ์อย่างใหญ่หลวง ภาษาโบราณเรียกว่า “พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน”
เนื่องจากดาวมฤตยูเป็นดาวใหม่ จึงไม่มีรายละเอียดเหมือนดาวนพเคราะห์ทั่วไป กล่าวคือ
- ไม่มีการกำหนดกำลังตามทักษา ในตำราโลกธาตุกล่าวว่า “มฤตยูเป็นอากาศธาตุ มีอยู่ก่อนธาตุอื่นๆ จึ่งมิได้เกิดจากแหล่งธาตุน้ำเหมือนนพเคราะห์ และหาเกณฑ์กำลังมิได้ เพราะกำลังทั้งหมดก็รวมอยู่ในมฤตยู คือศูนย์ทั้งนั้นแล”
- มฤตยูไม่มีเรือนเกษตร หรือทำเนียบตามมาตรฐานดาว
- ดาวมฤตยูไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นดาวศุภเคราะห์หรือดาวบาปเคราะห์ในตำราโหราศาสตร์แบบดั้งเดิม แต่ด้วยอานุภาพที่ร้ายแรงถึงขนาดเป็น “เทพแห่งความตาย” จึงมักถูกจัดให้เป็นดาวบาปเคราะห์
- ไม่มีการกล่าวถึงนิทานการกำเนิด ว่าพระศิวะสร้างมฤตยูมาจากอะไร ไม่มีนิทานการบดป่นให้เป็นผง และไม่มีการกล่าวถึงลักษณะของเทพประจำดาวและทิศประจำที่ถือครอง
- เมื่อแปลความหมายตามธาตุ “มฤตยู” หมายถึง “อากาศธาตุ” หรือ “ความว่างเปล่า” มฤตยูจึงไม่มีดาวคู่ธาตุ (แต่บางตำราก็ให้เป็นธาตุลม และให้ครองเกษตรในราศีกุมภ์ก็มี)
- ดาวมฤตยูเป็นหนึ่งในดาววิญญาณ เป็นตัวแทนของเคราะห์กรรม มีความเซื่องซึมทึมทึบ ซึ่งจะเป็นขั้วตรงกันข้ามกับดาวเกตุที่เป็นดาววิญญาณฝั่งบุญ มีความสดชื่นรื่นเริง ดาววิญญาณทั้งสองนี้ ไม่มีคู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล และ คู่ศัตรู
การพยากรณ์ดวงชะตาของบุคคลที่มีดาวมฤตยูส่งผลถึงลัคนา
ตามที่ได้ทำความรู้จักกับดาวมฤตยูกันแล้ว ในตอนนี้เราจะมาดูการพยากรณ์เรื่องดาวมฤตยู ตามตำราโหราศาสตร์กล่าวว่า “ภัยอาเพศทายมฤตยู” และในตำราโลกธาตุกล่าวถึงดาวมฤตยูว่า “มฤตยูเป็นที่รู้จักกันดีว่าคือมัจจุราชแห่งความตาย เมื่อได้ช่องก็ส่งทูตเข้ามาเยือนจึงเรียกว่ายมทูต ยมทูตนั้นคือโรคภัยไข้เจ็บ มฤตยูจึ่งอยู่ในเกณฑ์นี้”
- ในทางกายภาพ บุคคลที่มีดาวมฤยูส่งผลถึง จะเป็นคนสูงชลูด ไหล่ลู่ ใบหน้างองุ้ม สีหน้าเรียบเฉย เป็นคนนิ่งขรึม ดูภายนอกไม่รู้ถึงความรู้สึกภายใน จุดเด่นของใบหน้า คือ หน้าผากแคบ
- คนที่เป็นดาววิญญาณ ทั้งเกตุและมฤตยู จะมีสัมผัสพิเศษ เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มีเซนส์พิเศษ ใครมาดีมาร้ายก็จะรู้ได้
- สำหรับเรื่องโรคประจำตัว คนที่มีดาวมฤตยูส่งผลถึงมักเป็นโรคร้ายที่มองไม่เห็น โรคเรื้อรัง โรคริดสีดวง โรคในช่องในโพรงต่างๆ เพราะมฤตยูหมายถึงอากาศธาตุ คือ ช่องว่างในร่างกาย คนที่มีดาวมฤตยูมักไม่พบภัยร้าย มีแต่จะป่วยบ่อย
- ในทางบุคลิกภาพ บุคคลที่มีดาวมฤตยูส่งผลถึง จะมีบุคลิกนิ่ง เงียบ ไม่แสดงตัวให้ใครเห็น ไม่ชอบเป็นจุดเด่น มักทำตัวกลมกลืนไปกับคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าหาผู้ใหญ่ประจบใครก็ไม่เป็น และไม่เอาลูกน้อง จะสั่งงานใครมักชอบเขียนเป็นกระดาษไปแปะไว้ เพราะคนที่มีดาวมฤตยูส่งผลถึงเป็นคนพูดน้อย พูดสั้น พูดแล้วคนฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในความคิดกลับเป็นคนคิดมาก คิดซับซ้อน ชอบคิดการใหญ่ มฤตยูมีจินตนาการดูคล้ายดาวเกตุ แต่กลับเป็นจินตนาการในทางร้าย คิดในสิ่งที่น่าสพรึงกลัว คิดในแง่ลบ ต่างกับเกตุที่เป็นคนคิดสร้างสรรค์ ทันสมัย แต่ความคิดที่คล้ายกับดาวเกตุคือ มีความคิดอยากช่วยคน อยากให้คนทั้งหลายพ้นทุกข์ ได้อยู่สุขสบาย แต่ตนเองนั้นกลับเป็นคนอมทุกข์ มักมีสีหน้าบึ้งตึง หรือ เรียบเฉย ดูไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
- ในทางอุปนิสัย บุคคลที่มีดาวมฤตยูส่งผลถึง มักเป็นคนเคร่งขรึม ชอบเก็บตัว ซ่อนคม มีความคิดลึกซึ้ง ไม่ชอบความพลุกพล่านวุ่นวาย ช่างติ แก้ไข มีนิสัยละเอียดถี่ถ้วน มีลางสังหรณ์สูง มีญานวิเศษ สามารถล่วงรู้ปัญหาของผู้อื่นได้ดีทีเดียว อ่านจิตใจคนเก่ง ทำนายเหตุการณ์ได้ถูกต้อง เจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด โกรธง่าย ชอบเป็นผู้นำ ผู้ริเริ่มก่อการ นักปฎิวัติ คิดก้าวหน้าตลอด ชอบประดิษฐ์คิดค้น มั่นคงในลัทธิ เอาแต่ใจตัว มีความสามารถที่แปลกประหลาดพิสดาร ชอบศาสตร์ลี้ลับ ชอบคบคนสูงอายุ เป็นคนที่รู้ใจเพื่อนทุกอย่าง แต่หาเพื่อนรู้ใจไม่ได้เลยสักคน ทำคุณคนไม่ขึ้น
- คนที่มีดาวมฤตยูส่งผลถึง จะเป็นคนกินน้อย เลือกกินแต่สิ่งที่ชอบ ไม่กินของซ้ำ เพราะเบื่อง่าย ต่างกับเรื่องข้าวของเครื่องใช้ มักใช้ของเก่าๆ ซ้ำๆ ใช้เฉพาะของที่ชอบ ชอบสะสมข้าวของเก่าๆ มักมีบ้านใหญ่ๆ เก็บสะสมของมากมายเต็มไปหมด
- การงานอาชีพของคนที่ดาวมฤตยูส่งผลถึง จะทำงานที่คนอื่นทำไม่ได้ งานที่น่ากลัว น่าขยะแขยง เช่น เป็นหมอ สัปเหร่อ รับซื้อของเก่า รับกำจัดขยะ หรืองานอะไรที่คนเขาไม่กล้าทำ มฤตยูจะถูกโฉลกกับงานที่มองไม่เห็นจากภายนอก งานซับซ้อน เช่น งานทางด้านคอมพิวเตอร์ งานด้านอิเล็คทรอนิค งานที่เกี่ยวกับคลื่นสัณญาณ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ จิตศาสตร์ โบราณคดี นักโหราศาสตร์ นักสืบ พนักงานสืบสวน งานเชิงวิจัยค้นคว้าต่างๆ หรือ งานด้านการเก็บข้อมูล ข่าวสาร เป็นต้น
ดาวมฤตยูกับภพต่างๆ ในดวงชะตา
ในการพยากรณ์เราต้องดูว่าดาวมฤตยูส่งผลกับบุคลในเรื่องใดบ้าง ซึ่งดูได้จาก “ภพ” ที่ดาวมฤตยูไปสถิตในดวงราศีจักร ถ้าดาวตกในภพที่ส่งผลถึงเช่น กุม เล็ง โยค กับลัคนา (เป็น ๑ ๓ ๕ ๗ ๙ ๑๑ กับลัคนา) ดาวก็จะมีอิทธิพลกับเจ้าชะตามาก แต่ถ้าดาวไปตกในช่องเบียน คือ อริ มรณะ วินาศะ ดาวก็จะไม่ค่อยส่งผล แต่ถ้าไปตกในช่องส่ง ดาวก็จะส่งผลเป็นกลางๆ ในตอนนี้เราจะมาดูว่าเมื่อดาวมฤตยูสถิตในภพต่างๆ ของราศีจักรจะส่งผลถึงบุคคลอย่างไรบ้าง
- ภพตนุ (เป็น ๑ กับลัคนา) จะเป็นคนลึกลับ เคร่งขรึม ร่างกายโดยมากสูงชลูด (นอกจากมีดาวอื่นร่วมลัคนาด้วย) อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าคนธรรมดา ตัวร้อนรุมเหมือนมีไข้ มีญานและสัมผัสพิเศษ เห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น รู้ความคิดของคนอื่น รู้ใจเพื่อนแต่ไม่มีเพื่อนที่รู้ใจเรา เป็นคนคิดลึก คิดมาก คิดซับซ้อน มักคิดการใหญ่-เป็นนักปฏิวัติ ความคิดหนักไปทางร้ายและมีจินตนาการที่น่าสพรึงกลัว มีจิตใจเมตตาชอบช่วยเหลือคน อยากให้คนพ้นทุกข์ มักป่วยบ่อย เป็นคนที่มีโรคประจำตัว ทำงานหนักเพื่อคนอื่น มักจะถูกโฉลกกับงานที่น่ากลัว หรืองานที่ซับซ้อน โหราจารย์มักกล่าวว่า คนที่เป็นดาวมฤตยูเกิดมาใช้กรรม เป็นคนชอบของเก่าๆ กินอาหารเย็นชืด
- ภพกดุมภะ (เป็น ๒ กับลัคนา) มีเงินเท่าไหร่เก็บหมด ประหยัดเงินทอง ไปจนถึงขั้นตระหนี่ ขี้เหนียว ควักกระเป๋าเท่าไหร่ก็ควักไม่ออก สมัยเด็กมักเก็บเงินค่าขนมหยอดใส่กระปุกไว้ โตขึ้นก็เก็บออมใส่บัญชีธนาคาร มฤตยูสถิตช่องการเงิน จึงมักจะได้เงินจากคนเจ็บ คนป่วย คนตาย หรือคนที่มีความทุกข์ อีกประการหนึ่งคือ ต้องเรื่องใหญ่ๆ จึงจะได้เงิน หากทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไม่ได้เงิน
- ภพสหัสชะ (เป็น ๓ กับลัคนา) จะเป็นคนที่คบแต่เพื่อนแปลกๆ มักมีเพื่อนที่เป็นคนประหลาด ไม่เหมือนกับคนทั่วไป เช่น มีเพื่อนรูปร่างใหญ่โต อ้วนมาก หรือผอมมาก มีเพื่อนเป็นคนลึกลับ จอมขมังเวทย์ หรือ มีเพื่อนเป็นคนที่ครองเพศพิเศษ เป็น LGBTQ ทำนองนี้
- ภพพันธุ (เป็น ๔ กับลัคนา) จะเป็นคนที่ทำกิจการในบ้าน หรือ ถ้าที่บ้านไม่ได้ทำกิจการอะไร ก็จะเป็นคนไม่มีบ้าน มีบ้านก็มีอันต้องพังทลาย ถ้าซื้อบ้านก็ต้องซื้อเป็นชื่อคนอื่นถึงจะอยู่ในบ้านนั้นได้ หากซื้อบ้านเป็นชื่อตัวเองก็จะต้องมีเรื่องมีราว ต้องโยกย้ายถ่ายโอนบ้านไปเป็นชื่อคนอื่น
- ภพปุตตะ (เป็น ๕ กับลัคนา) ไม่มีลูก ถ้ามีลูก-ลูกก็จะเสียชีวิต นอกเสียจาก เจ้าชะตาเป็นดาววิญญาณประเภทดียวกันจึงจะรอดได้ มฤตยูลงเรือนบริวาร จึงมักไม่มีลูกน้อง ไม่มีบริวารติดสอยห้อยตามเหมือนคนอื่น ถ้ามีลูกน้องดีๆ ที่รู้ใจกัน ก็ต้องมีอันล้มหายตายจาก นอกจากเจ้าชะตาเป็นดาววิญญาณ ก็จะมีลูกน้อง แต่เป็นลูกน้องแบบมฤตยู คือเป็นคนลึกลับ เงียบขรึม ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
- ภพอริ (เป็น ๖ กับลัคนา) ไม่มีความอาเพศ ทายว่าดี โรคภัยไม่มากล้ำกราย
- ภพปัตนิ (เป็น ๗ กับลัคนา) โบราณเรียกว่า กินผัว กินเมีย คู่ครองจะมีอายุสั้น ต้องหาคู่ที่เป็นดาวมฤตยูจึงจะไปกันได้
- ภพมรณะ (เป็น ๘ กับลัคนา) ทายว่าดี ไม่มีโรคภัย
- ภพศุภะ (เป็น ๙ กับลัคนา) เป็นคนที่อาเพศเรื่องความคิด คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น มักมีความคิดวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน หนักไปในทางร้าย คิดมาก เป็นคนวิตกกังวล อาจเป็นโรคประสาท
- ภพกัมมะ (เป็น ๑๐ กับลัคนา) เป็นคนที่ทำงานใกล้กับความตาย หรือทำงานเสี่ยงตาย เช่น พนักงานดับเพลิง หรือ เป็นหน่วยกู้ภัย กู้ชีพ ต้องทำงานช่วยเหลือผู้คน เช่น ทำงานในโรงพยาบาล หรือ บ้านพักคนชรา
- ภพลาภะ (เป็น ๑๑ กับลัคนา) มักได้ลาภจากคนตาย หรือได้ในสิ่งที่คนเขาไม่อยากจะเสีย
- ภพวินาศะ (เป็น ๑๒ กับลัคนา) ไม่มีภัยอาเพศ ภัยร้ายอยู่ไกล มาไม่ถึงเจ้าชะตา
ดาวมฤตยูเป็นดาววิญญาณ
ดาวมฤตยูมีความพิเศษกว่าดาวเคราะห์อื่น โหราจารย์นับดาวมฤตยูเป็นอากาศธาตุ จึงไม่มีดาวคู่ธาตุ และ ไม่มีดาวคู่มิตร คู่สมพล คู่ศัตรูด้วย แต่เนื่องจากดาวมฤตยูนั้นมีฤทธิ์ มีอิทธิพล ส่งผล “ทำลายอานุภาพดาวที่โยคถึงให้ผิดเพี้ยนอาเพศไป” จึงดูเหมือนกับว่า มฤตยูนั้นเป็นศัตรูกับดาวทุกดวง แท้จริงแล้ว “มฤตยูเป็นดาวแห่งเคราะห์กรรม” ซึ่งเป็นจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าชะตา มฤตยูจึงสยบดาวทั้งหลายไว้ได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม”
ถ้าในดวงชะตามีดาวมฤตยูส่งผลถึงดาวดวงอื่น ไม่ว่าจะเป็น ทับ เล็ง โยคหน้า โยคหลัง หากมฤตยูกระทบดาวศุภเคราะห์ (จันทร์ พุธ พฤหัส ศุกร์ หรือ ๒๔๕๖) ก็จะทำลายไม่ให้ส่งผลอันดีงาม หากเป็นดาวบาปเคราะห์ (อาทิตย์ อังคาร เสาร์ ราหู หรือ ๑๓๗๘) ก็ฉุดรั้งมิให้เกิดความร้ายแรง จึงนับเป็นการทำลายอานุภาพที่ให้ทั้งคุณและโทษ
ผลของดาวมฤตยูที่กระทบกับดาวอื่น จะให้ผลคล้ายกับดาวเจ้าเรือนเกษตรที่ดาวมฤตยูไปสถิตอยู่ ซึ่งทีมงานจะยกไปอธิบายรวมกันในหน้าต่อไปค่ะ
ผลของดาวมฤตยูที่ส่งผลถึงดาวอื่นในดวงชะตา
ในตอนนี้เราจะกล่าวถึงผลของดาวมฤตยูที่ส่งผลถึงดาวอื่นในดวงชะตา 2 ประการ นั่นคือ
- เมื่อดาวมฤตยูส่งกระแสสัมพันธ์ถึงดาวอื่น คือ ทับ เล็ง โยคหน้า โยคหลัง และ
- เมื่อดาวมฤตยูสถิตในราศีจะส่งผลถึงเจ้าเรือนเกษตรประจำราศี
ผลจากดาวมฤตยู มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวอาทิตย์ หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีสิงห์ เรือนเกษตรของดาวอาทิตย์
มฤตยูจะทำให้ความเป็นอาทิตย์อาเพศผิดเพี้ยนไป ไม่มีความหยิ่งทะนงในเกียรติยศศักดิ์ศรี กลายเป็นคนชอบเซอร์วิสคนอื่น ไม่ถือเนื้อถือตัว กลับไปหยิ่งในเรื่องไม่เข้าเรื่อง มักมีความลับความในใจ ถ้าเรื่องไม่แดงขึ้นมาก็ไม่บอกใคร ไม่ถือกฎเกณฑ์ ทำสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต มีตำแหน่งใหญ่แต่มีกรรมจึงไม่อาจเปิดเผย ต้องปิดทองหลังพระ ทำงานในที่ที่ไม่มีใครเห็น
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวจันทร์ หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีกรกฎ เรือนเกษตรของดาวจันทร์
มฤตยูจะทำลายความอ่อนหวาน นิ่มนวลของจันทร์ ทำให้กลายเป็นคนชอบออกนอกบ้าน เก่งนอกบ้าน ชอบการต่อสู้ ชอบพกพาอาวุธ มีความงามที่ต้องแต่งเติม ไม่แต่งหน้าก็ไม่สวย แต่งหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคน อารมณ์ร้าย กระโดกกระเดก กิริยาไม่เรียบร้อย ความเป็นหญิงเหลือน้อย มีนิสัยห้าวคล้ายผู้ชาย
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวอังคาร หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีเมษ หรือ ราศีพิจิก เรือนเกษตรของดาวอังคาร
มฤตยูจะทำให้ความกล้าหาญของอังคารอาเพศไป กลายเป็นคนไม่ชอบเดินทาง ไม่ออกไปไหน ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าตัดสินใจ มักจะพะวักพะวน กลายเป็นคนนิ่มนวล ไม่ห้าวหาญ ถ้าจะเก่งกล้าก็เก่งแต่กับคนในบ้าน ออกนอกบ้านกลายเป็นคนสงบเสงี่ยม
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวพุธ หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีมิถุน หรือ ราศีกันย์ เรือนเกษตรของดาวพุธ
มฤตยูจะทำลายดาวพุธ เรื่องการเจรจาจึงเป็นแบบขวานผ่าซาก พูดแรงๆ พูดไม่เข้าหู ชอบพูดขัดคอ พูดหาเรื่อง นอกเสียจากว่าจะเอาประโยชน์จึงจะยอมพูดดีๆ มีความสามารถพิเศษในการยุยงส่งเสริม ถนัดในการพูดให้คนตีกัน ชอบพูดไม่สร้างสรรค์แบบเป็นเรื่องเป็นราว พูดจาไม่เห็นแก่หน้าใคร ทะลุกลางปล้อง พูดไม่มีกาละเทศะ
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวพฤหัส หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีมีน หรือราศีธนู เรือนเกษตรของดาวพฤหัส
มฤตยูจะทำลายปัญญาบริสุทธิ์ ให้กลายเป็นปัญญาด้านลบ บางคนก็ใช้ความรู้ในทางที่ผิด เรื่องทั่วไปกลายเป็นโง่คิดไม่ออก แต่กลับไปฉลาดในเรื่องยากมากๆ เรื่องซับซ้อนทำได้ เก่งงานวิจัย งานประดิษฐ์คิดค้น ชอบประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ มักเป็นนักวิทยาศาสตร์ สามารถทำในเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ เพราะมีความคิดไม่เหมือนคนอื่น จึงเป็นคนสติเฟื่อง คิดในเรื่องใหม่ๆ เรื่องยากๆ เรื่องที่คนอื่นเขาไม่คิดกัน
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวศุกร์ หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีพฤษภ หรือราศีตุล เรือนเกษตรของดาวศุกร์
มฤตยูทำลายความรักให้อาเพศ จึงเกิดความรักผิดที่ผิดทาง แอบรักคนมีเจ้าของ รักข้างเดียว หรือรักคนเพศเดียวกัน มีความสุขไม่เหมือนคนอื่น เป็นคนที่ชอบของแปลกๆ บางรายอาจมีความสุขทางเพศแบบวิตถารก็เป็นได้
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวเสาร์ หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีมังกร หรือ ราศีกุมภ์ เรือนเกษตรของดาวเสาร์
มฤตยูทำลายโทษทุกข์ จึงสบายไม่ทุกข์ร้อน ทำอะไรไปตามที่คนบอกคนแนะนำแล้วจึงได้ดี ไม่ต้องไปเหนื่อยไปดิ้นรน ถ้าไปดิ้นรนก็จะยิ่งสร้างความเดือดร้อน
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวราหู หรือ ดาวมฤตยูสถิตราศีกุมภ์ เรือนเกษตรของดาวราหู
มฤตยูทำลายความวุ่นวายปั่นปวนของราหู ดูเหมือนจะดี แต่ก็พาลทำลายไหวพริบชั้นเชิงให้น้อยลงไปด้วย จึงทำให้เกิดความเฉื่อยชา ไม่เอาเรื่องเอาราว ไม่กระตือรือล้น ไม่เอาถ่าน แต่มีความดื้อ เอาแต่ใจ
- เมื่อดาวมฤตยูกระทบกับดาวเกตุ
มฤตยูทำให้การช่วยเหลือของดาวเกตุให้ผลไม่แน่นอน เพราะเมื่อบุญกรรมมาสนองพร้อมกัน ผลที่เจ้าชะตาได้คือความไม่แน่นอน ได้รับผลแบบ “ตามบุญตามกรรม” คือที่หวังมักจะไม่ได้ แต่ได้ในสิ่งที่ไม่ได้หวัง ไม่ได้ตามใจนึก มักจะได้อย่างเสียอย่างอยู่เสมอ ถ้าไม่เสียสละก่อนก็จะไม่ได้สิ่งที่หวัง
ดาวมฤตยูกับพรรคพวก
ดาวมฤตยูเมื่ออยู่ลำพังมีพลังในเรื่องจิตวิญญาณ ความอาเพศ เคราะห์กรรม แต่เมื่อดาวมฤตยูได้พรรคพวกที่เข้ากันได้มาระดมกำลังกันเกิดเป็นกลุ่มดาวที่ส่งผลเป็นความยิ่งใหญ่มีกำลังกล้าแข็ง ในตอนนี้จะกล่าวถึงกลุ่มดาวที่รวมตัวกันเป็นเกณฑ์เป็นก๊กเหล่า ซึ่งดาวมฤตยูมีเพื่อนร่วมเป็นก๊ก ได้ก๊กเดียวคือ
ก๊กวิญญาณ ๕๘๙๐ หรือชุมนุมดาวเทวดา ประกอบด้วย ดาวพฤหัส ดาวราหู ดาวเกตุ และดาวมฤตยู เมื่อ ๕๘๙๐ ร่วมราศี หรือ โยคถึงกัน และส่งผลถึงลัคนา จะทำให้เป็นคนที่มีความเชื่อศรัทธาหรืองมงายในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังลึกลับ สิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น มีสัมผัสพิเศษ ใครมาดีมาร้ายรู้ เป็นคนแปลกๆ ไม่ทำตามค่านิยมของสังคมสักเท่าไหร่ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มักมุ่งหวังเรื่องหลุดพ้น นิพพาน หรืออยากมีดวงตาเห็นธรรม หากอุทิศตนเพื่อคนอื่นก็จะได้ประสบความสำเร็จ ยิ่งเสียสละก็จะยิ่งได้มา แต่ถ้ายิ่งไขว่คว้าด้วยความเห็นแก่ตัว จะกลับกลายเป็นความล้มเหลว
ด้วยสำนึกในพระคุณครู
กราบแทบบาทครูบาอาจารย์เจ้า ผู้คอยเฝ้าสอนสั่งศิษย์ทั้งหลายฯ
ทีมงานตาณฑวะ