เพื่อวัตถุประสงค์ในความเข้าใจอันกระจ่างมากขึ้น และเพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่าน "อัษฎาวกระคีตา"

ภาคผนวก

การตระหนักถึงอัตลักษณ์ของแต่ละตัวตนที่แตกต่างกัน และตระหนักถึงปรมาตมันหรือพรหมันที่ดำรงอยู่และถูกรู้ และทำให้เกิดความสุขอย่างสมบูรณ์
ความรู้ (knowledge)
บทที่ 1 โศลก 1.1
บรมวิญญาณ อาตมันทั้งหมดที่รวมอยู่ด้วยกัน
ปรมาตมัน (paramatman)
ภาคผนวก-ความรู้
อาตมัน
พรหมัน (Brahman)
ภาคผนวก-ความรู้
ดวงวิญญาณ ซึ่งในทางศาสนา และปรัชญาฮินดูถือว่าเที่ยงแท้ถาวร​
อาตมัน (Self)
บทที่ 1 โศลก 1.9
การเป็นอิสระจากอวิชชา พันธะ และข้อจำกัดทั้งปวง สิ่งนี้เป็นผลจากความรู้
การหลุดพ้น (liberation)
บทที่ 1 โศลก 1.1
การปล่อยวางจากความรื่นรมย์ทางวัตถุ และอื่นๆ เป็น หนึ่งในสี่คุณลักษณะที่จำเป็นต่อการแสวงหาความรู้ คือ
1. การปล่อยวาง
2. การแยกแยะว่าสิ่งใดจริงและสิ่งลวง
3. การฝึกฝนอายตนะหกประการ
4. การคงสถานะหลุดพ้น
การปล่อยวาง (Renunciation, Detachment)
บทที่ 1 โศลก 1.1
อ้างอิงถึงอาศรม 4 ประการคือ
1. พรหมจรรย์ (อัตถะ) คือผู้อยู่ในวัยการศึกษา
2. คฤหัสถ์ (กามะ) คือผู้ครองเรือน
3. วานปรัสถ์ (ธรรมะ) คือผู้แยกตัวออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า
4. สัณยาสี (โมกษะ) คือผู้ออกบวช
ฐานะ (asharama)
บทที่ 1 โศลก 1.5
สิ่งที่เติบโตขึ้นจากจิตของผู้ที่ตัดสิน และความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราคิดว่าเราเป็นผู้กระทำเท่านั้น
ถูกและผิด (virtue and vice)
บทที่ 1 โศลก 1.6
เป็นผลพวงจากการตัดสินว่า ถูกและผิด ซึ่งเกิดขึ้นในจิต
พึงพอใจและเจ็บปวด (pleasure and pain)
บทที่ 1 โศลก 1.6
อหังการ (ego) ที่ทำให้จิตอันสูงส่งตาย
อสรพิษ (serpent)
บทที่ 1 โศลก 1.8
สิ่งที่ชุบชีวิตและลบล้างความเจ็บปวด ในความหมายนี้ คือทำลายอหังการ ทำให้ความสูงส่งทางจิตกลับมาอีกครั้ง และยังช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทางโลก
น้ำหวาน (nectar)
บทที่ 1 โศลก 1.8
สิ่งที่ได้จากการทำลายความแตกต่างระหว่างทุกสิ่งและทำลายความแตกต่างในทุกคุณลักษณะ
เป็นหนึ่งเดียว (one)
บทที่ 1 โศลก 1.9
ภาพลวงตา สิ่งสมมุติ ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดว่ามีตัวตน มีสิ่งใดที่เป็นของข้าพเจ้า มีร่างกายนี้เป็นของข้าพเจ้า จิตใจนี้เป็นของข้าพเจ้า  เป็นต้น
มายา (illusion)
บทที่ 2 โศลก 2.1
สภาวะที่ความเป็นคู่ได้อันตรธานไป และอาตมัน (self) ส่องแสงรุ่งโรจน์
สัมบูรณ์ (absolute)
บทที่ 2 โศลก 2.17
ความคิดในมุมมองของมายา (อวิชชา) ว่ามีตัวตน มีจักรวาล
จินตนาการ (imagination)
บทที่ 2 โศลก 2.19
มุมมองเชิงเปรียบเทียบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าหรือเลวกว่า เช่น นรก-สวรรค์, ดี-ชั่ว, พึงพอใจ-เจ็บปวด
ความเป็นคู่ (duality)
บทที่ 2 โศลก 2.16
เกิดขึ้นจากความรู้สึกเป็นสื่งคู่ (ในภาวะที่ยังไม่ตระหนักถึงอาตมันในตน) สิ่งต่างๆ จึงถูกพิจารณาว่ามีอยู่จริง น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา ดีหรือชั่ว ชอบหรือไม่ชอบ เป็นต้น
ความรู้สึก (sense)
บทที่ 3 โศลก 3.5
กลัวต่อความตาย เมื่อตระหนักรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงคือ “อาตมัน” เป็นนิรันดร์ ไม่เกิดและไม่ตาย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะกลัวต่อการแตกดับของร่างกาย เพราะเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ไม่มีผลใดกับอาตมัน
ความกลัว (fear)
บทที่ 3 โศลก 3.8
เป็นความรู้สึกแห่งความสมบูรณ์ (absolute) ว่ามีเพียงอาตมันเท่านั้นที่มีอยู่ สิ่งอื่นนั้นมิได้มีอยู่จริงเป็นเพียงมายาที่ถูกสร้างขึ้น เช่นนั้นผู้ตระหนักรู้พึงไม่ยึดติดกับวัตถุ (object) และโลกมายา (world) การยึดติดกับวัตถุจะให้ความพึงพอใจหรือความเจ็บปวดเพียงเท่านั้น
ไม่มีอยู่จริง (nothing)
บทที่ 3 โศลก 3.13
กำเนิด 4 ประเภทคือ
อัณฑชกำเนิด คือ การเกิดในไข่
ชลาพุชะกำเนิด คือ การเกิดในครรภ์
สังเสทชะกำเนิด คือ การเกิดในสิ่งปฏิกูล
โอปปาติกะกำเนิด คือ การผุดเกิด
กำเนิด 4 ประเภท
บทที่ 4 โศลก 4.5
ผู้ตระหนักรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงและจักรวาลนี้มีเพียงอาตมัน (พรหมัน) เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาจึงสิ้นสุดในความเป็นคู่ ชอบ-ชัง, ดี-ชั่ว ผู้ไร้ซึ่งความปรารถนา และมองปรากฎการณ์ต่างๆ ด้วยความเป็นกลาง
ผู้บรรลุธรรม (the knower of Self)
บทที่ 4 โศลก 4.1
คือพิจารณาว่าสิ่งใดควรค่าที่จะกระทำ เนื่องจากผู้บรรลุธรรมไม่มีหน้าที่ดั่งปุถุชนธรรมดาซึ่งถูกบังคับโดยสภาพแวดล้อมและข้อจำกัดของเขาเอง
สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ารู้
บทที่ 4 โศลก 4.6
การรวมกันของกาย, จิต, สติปัญญา และ ผัสสะ รวมกันขึ้นเป็นเอกลักษณ์ตัวตน ความซับซ้อนถูกสร้างให้เกิดขึ้นและบดบังการตระหนักรู้ถึงอาตมัน ในขณะที่ทำลายความซับซ้อน, จะหลอมรวมเข้าสู่ความสัมบูรณ์ (absolute)
ความซับซ้อน (complex)
บทที่ 5 โศลก 5.1
ภาวะที่ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ ภาวะที่ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นอีก ภาวะสัมบูรณ์ (absolute)
นิพพาน (dissolution)
บทที่ 5 โศลก 5.1
การเห็นเชือกเป็นงู การเห็นพยับแดดเป็นน้ำ คือ มายาที่เกิดจากอวิชชาเป็นต้นเหตุ เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเชือกจริงๆ จึงเห็นเป็นงู แต่เมื่อรู้ว่านั้นคือเชือก คือแดด ภาพลวงตาซึ่งเป็นมายาก็จะหายไป
การเห็นเชือกเป็นงู (the snake in the rope)
บทที่ 5 โศลก 5.3
สื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์)
อายตนะภายใน
บทที่ 8 โศลก 8.3
สัมผัส หรือ ผัสสะ มี 6 อย่าง คือ
- จักขุสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางตา คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ
- โสตสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางหู คือ หู+เสียง+โสตวิญญาณ
- ฆานสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางจมูก คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
- ชิวหาสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ
- กายสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางกาย คือ กาย+โผฏฐัพพะ (เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง) +กายวิญญาณ
- มโนสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางใจ คือ ใจ+ธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด) +มโนวิญญาณ
ผัสสะ
บทที่ 8 โศลก 8.3
กาย จิต ความรู้สึก แท้จริงแล้วคือธาตุทั้งห้า แตกต่างกันเพียงรูปแบบของการรวมตัวกัน รูปแบบนี้ที่ทำให้เราเกิดการปรุงแต่งพิจารณาไปว่าอันหนึ่งสวย อีกอันไม่สวย เพราะเหตุนั้นจึงปรารถนาอันที่สวยและไม่ปรารถนาอีกอัน
การปรุงแต่ง
บทที่ 9 โศลก 9.7
ความเป็นอิสระคือการก้าวข้ามแรงดึงดูดที่อยู่ภายในพันธะของกาย กับสิ่งต่างๆ อันเป็นมายา (world)
อิสระ
บทที่ 9 โศลก 9.7
กรรมทางวัตถุประกอบด้วยสภาวะแห่งความทุกข์สามประการเสมอ ได้แก่ adhyātmika, adhidaivika และ adhibautika ดังนั้นแม้ว่าใครจะประสบความสำเร็จบ้างจากการทำกรรมดังกล่าว ความสำเร็จนี้จะมีประโยชน์อย่างไร เมื่อเขายังคงต้องเผชิญกับ การเกิด ความชรา ความเจ็บป่วย และความตาย ต้องรับผลแห่งกรรมที่เขาได้กระทำสำเร็จลงไป
- Adhyātmika ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและจิตใจ
- Adhidaivika ความทุกข์ยากที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากที่กำหนดโดยสังคม ชุมชน และสิ่งที่มีชีวิตอื่น ๆ
- Adhibautika ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ
ความสุขอันเกิดจากสัมผัสด้วยอายตนะนั้นเป็นต้นกำเนิดของความทุกข์ อันมีเกิดและดับเป็นเที่ยงแท้ ไม่มีพุทธิใดที่เริงรมย์อยู่ในสิ่งเหล่านี้ (ภควัทคีตา โศลกที่ 5.22 ฉบับแปลโดย อาจารย์เกียรติขจร ชัยเธียร)
ความทุกข์สามประการ
บทที่ 9 โศลก 9.3
ไตรลักษณ์ แปลว่า “ลักษณะ 3 อย่าง” หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน
- อนิจจตา (อนิจจลักษณะ) – อาการไม่เที่ยง อาการไม่คงที่ อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป
- ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) – อาการเป็นทุกข์ อาการที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่กดดัน อาการฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้
- อนัตตตา (อนัตตลักษณะ) – อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่มีตัวตน อาการที่แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง
ไตรลักษณ์
บทที่ 9 โศลก 9.3
สรรพสิ่งมีลักษณะ 3 ประการ (ไตรคุณ) คือ
- สัตตวะ อันปราศจากมลทิน ประกายแสงเจิดจรัส และเป็นอนามัย ทำให้จิตวิญญาณผูกพันการยึดมั่นในความสุข รวมทั้งการยึดมั่นในญาณ
- รชะ (รชัส) เป็นภาวะของราคะ เกิดขึ้นจากตัณหาและการยึดมั่น อันเห็นพันธนาการให้บุคคลยึดมั่นอยู่ในกรรม
- ตมะ (ตมัส) เกิดขึ้นจากอวิชชา อันล่อลวงบุคคลทั้งหลายให้ลุ่มหลง อันเป็นพันธนาการให้ประมาท เกียจคร้าน และหลับไหล
เมื่อประกายแห่งญาณ เจิดจรัสในทุกทวารของเทหะนั้น เมื่อนั้นแลควรรู้ว่า สัตตวะ ย่อมมีฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น
[จากภควัทคีตา บทที่ 14 โยคะแห่งวิภาคของไตรคุณ โศลก 14.5 – 14.8 และ 14.11 ฉบับที่ปริวัตร โดย อาจารย์เกียรติขจร ไชยเธียร]
รชะ ตมะ สัตวะ
บทที่ 15 โศลก 15.1
ได้ยินได้ฟังมาโดยนิมิตจากเทพเจ้า หรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง
ศรุติ
บทที่ 16 โศลก 16.1
เป้าหมายทั้งสี่ของชีวิต (ปุรุษารถะ) ประกอบด้วย
- กาม การแสวงหาความสุขในทางโลกตามวิสัยของผู้ครองเรือน
- อรรถ หมายถึง การสร้างทรัพย์สมบัติเป็นการสร้างฐานะให้มั่นคง
- ธรรม หมายถึง หลักศีลธรรมหรือระเบียบปฏิบัติของคนในสังคม
- โมกษะ หมายถึง เป็นอุดมคติและคุณค่าสูงสุดในชีวิต เป็นการปฏิบัติตนให้ถึงการหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง
เป้าหมายทั้งสี่
บทที่ 16 โศลก 16.5