ตาณฑวิทย์ โหราสาระ

ดวงดาวโคจรวิปริต
กับการพยากรณ์

ตาณฑวะพยากรณ์

การโคจรวิปริตของดวงดาว

สวัสดีค่ะ วันนี้พบกับทีมงานตาณฑวะ ในรายการ “คุยเรื่องดาว เล่าเรื่องดวง” วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่อง “การโคจรของดวงดาว”

เหตุผลที่นักพยากรณ์ต้องพิจารณาการโคจรของดวงดาวก็เพราะว่า การทำนายตรงๆ ไปตามทฤษฎีที่เล่าเรียนมา ไม่ว่าจะเป็นการทำนายดวงเดิม, การทำนายลักษณะของดาวผนวกเข้ากับภพต่างๆ ของจักรราศี, การกระทบกันของดาวคู่มิตร-คู่ศัตรู และการทำนายอื่นๆ ผลของการทำนายจะตรงตามตำราเมื่อดาวโคจรไปในทิศทางเดินหน้าและมีความเร็วปกติ เมื่อดวงดาวมีการโคจรที่เปลี่ยนแปลงวิปริตไป ผลที่เกิดขึ้นจากดวงดาวก็วิปริตผิดเพี้ยนตามไปด้วย นักพยากรณ์จึงควรคำนึงถึงการโคจรของดวงดาวก่อนที่จะทำนายออกไปเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำถูกต้อง

Let’s join our channel
  • เราจะมาดูธรรมชาติของระบบสุริยะกันสักหน่อย ในสมัยก่อนคนเราเชื่อว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางและมีดาวอื่นๆ โคจรไปรอบๆ จนกระทั่ง “กาลิเลโอ” นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และ นักปรัชญา ชาวอิตาลี ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1564-1642 ได้พิสูจน์ว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ และมีดาวบริวารหมุนไปรอบๆ โดยมีโลกเป็นหนึ่งในดาวบริวารทั้งหลายของดวงอาทิตย์ ความรู้เกี่ยวกับระบบสุริยะนี้ก็พัฒนาต่อมาอีกระดับหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อว่า “เคปเลอร์” (Kepler) เป็นผู้ค้นพบและพิสูจน์ได้ว่า “ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี โดยมีดวงอาทิตย์อยู่ที่โฟกัสจุดหนึ่ง”
  • การโคจรเป็น “วงรี” แสดงว่าระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์ไม่ได้เท่ากันตลอดวงโคจร บางทีก็โคจรใกล้ และบางทีก็โคจรไกลออกไป ทำให้เกิดคำอธิบายเรื่องฤดูร้อนฤดูหนาวบนโลก ดาวเคราะห์แต่ละดวงจะหมุนหรือโคจรไปด้วยวงโคจรที่มีขนาดและความเร็วเฉพาะตัว เนื่องจากดาวแต่ละดวงมีมวลไม่เท่ากัน เมื่อมวลไม่เท่ากัน ส่งผลให้แรงดึงดูดระหว่างมวลของ “ดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์” ก็จะแตกต่างกันไป ทำให้ความเร็วของการโคจรอยู่ที่จุดสมดุลเป็นค่าเฉพาะของตัวเอง
  • เมื่อเราดู VDO จำลองการโคจรของดวงดาว ก็จะเห็นได้ชัดเจนและเข้าใจในเรื่องการโคจรได้ดีขึ้น ตาม VDO เราจะเห็นว่าดาวแต่ละดวงโคจรไปด้วยความเร็วของตัวเอง บางดวงเร็ว บางดวงช้า มีการแซงหน้ากัน และทุกดวงจะหมุนรอบดวงอาทิตย์ไปเรื่อยๆ ด้วยแรงเหวี่ยงที่สมดุลย์อย่างน่าอัศจรรย์
  • เมื่อเห็นภาพการโคจรของดวงดาวในระบบสุริยะกันไปแล้ว ถ้าเรามองจากศูนย์กลางที่ดวงอาทิตย์ ดาวทุกดวงจะหมุนไปด้วยวงโคจรที่แน่นอน ทำให้เกิดคำถามในใจนักพยากรณ์หลายท่านว่า “เมื่อวงโคจรมีความสมดุลที่แน่นอนแล้วดาวเคราะห์จะโคจรวิปริต เช่น เดินหน้า ถอยหลัง หรือ อยู่นิ่งเฉยๆ ได้อย่างไร?” เพราะถ้าเกิดดาวเคราะห์โคจรตามอำเภอใจก็จะเสียสมดุลและต้องหลุดวงโคจรไปอย่างแน่นอน
  •  อันที่จริงดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะต่างก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วยวิถีที่แน่นอนและสมดุล ถ้าเรายืนอยู่ตรงดวงอาทิตย์และมองออกมาจากดวงอาทิตย์ จะไม่มีดาวเคราะห์ดวงไหนที่โคจรวิปริต แต่ปัญหามันเกิดขึ้นตรงที่ว่า ในวิชาโหราศาสตร์ “เราไม่ได้ใช้ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง” แต่ “เรามองจากโลก” เราใช้โลกเป็นจุดศูนย์กลางและมองไปยังดาวดวงอื่นๆ ที่มีลักษณะต่างคนต่างหมุนรอบดวงอาทิตย์ ไปตามวงโคจรที่สมดุลของตัวมันเอง เราก็เลยเห็นไปว่าบางจังหวะดาวอื่นก็เคลื่อนที่ช้า บางจังหวะดาวอื่นก็เคลื่อนที่เร็ว บางมุมก็เห็นเหมือนดาวอื่นหยุดอยู่เฉยๆ และบางมุมที่โลกหมุนแซงไปข้างหน้าจึงดูเหมือนว่าดาวอื่นเดินถอยหลัง ทางฟิสิกส์เรียกการเคลื่อนที่ทำนองนี้ว่าความเร็วสัมพัทธ์ คือไม่ใช่ความเร็วจริงๆ แต่เป็นความเร็วที่วัดเปรียบเทียบจากจุดอ้างอิงคือ “โลก” ที่ก็กำลังเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เช่นกัน
  • เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ทีมงานได้นำ VDO ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องนี้โดยเฉพาะมาให้ชมกันค่ะ ภาพทางด้านซ้ายจะแสดงการโคจรของดาวในระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง และถัดมาทางภาพด้านขวาจะเป็นการเคลื่อนที่ของดวงดาวในระบบสุริยะ เมื่อจับให้โลกเป็นจุดศูนย์กลาง เราจึงเห็นจังหวะการเหวี่ยงเข้ามาใกล้และการถอยหลังห่างออกไป วงโคจรที่มองจากโลกจึงไม่ได้เป็นวงธรรมดาเหมือนกับที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ และนี่ก็คืออาการของการโคจรวิปริต ที่เราจะได้อธิบายในทางโหราศาสตร์กันต่อไป

เมื่อดาวโคจรผิดปกติ การทำนายในทางโหราศาสตร์ก็ต้องพลิกแพลงตามไปด้วย ถ้าเราไม่ดูการโคจรของดวงดาว นักพยากรณ์ก็มักจะหน้าแตกอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น บางคนที่มีดาว ๕๗ ถึงลัคนาในดวงกำเนิด เป็นคู่ลำบากยากเข็ญต้องทุกข์ทั้งกายใจ เป็นคู่ศัตรูก่อให้เกิดความแสนสาหัส แต่เมื่อพฤหัสเดินถอยหลัง กลับทำให้บุคคลนั้นเกิดมาสุขสบาย ไม่เคยต้องลำบากเหมือนอย่างที่ทฤษฎีกล่าวไว้เลย เมื่อนักพยากรณ์ตระหนักถึงความสำคัญของการโคจรของดวงดาว ว่าส่งผลกับคำทำนายแบบ กลับดีเป็นร้าย หรือ กลับร้ายเป็นดีได้ ดังนั้น

มีคำถามที่น่าสนใจสำหรับนักพยากรณ์ 2 คำถาม ก็คือ

  1. เราจะดูอย่างไรว่าดาวโคจรผิดปกติ ?
  2. เมื่อดาวโคจรผิดปกติแล้วจะทำนายอย่างไร ?

 

ทีมงานตาณฑวะได้เรียบเรียงสิ่งที่เป็นความรู้ และนำเสนอพร้อมการธิบาย เพื่อให้นักพยากรณ์และท่านที่สนใจวิชาโหราศาสตร์ ได้ทำความเข้าใจในเรื่องการโคจรวิปริตของดวงดาวพร้อมทั้งแนวทางการพยากรณ์ไว้ในตอนท้าย มีภาพรวมของเนื้อหาดังนี้ค่ะ

    1. ทิศทางการโคจรของดาวบนจักรราศี
    2. ดาวที่เดินตรงและดาวที่เดินวิปริต
    3. การแบ่ง 12 ราศีเป็นองศาด้วยวิชาเรขาคณิต
    4. การอ่านปฏิทินดาว หรือ ไดอารี่โหร
    5. การหาองศาที่ดาวเคลื่อนที่จากปฏิทินดาว หรือ ไดอารี่โหร
    6. ความเร็วมาตรฐานของดาวนพเคราะห์
    7. การเปรียบเทียบองศาดาวเพื่อดูว่าเดินเร็วหรือช้ากว่าปกติ พร้อมตัวอย่าง
    8. แนวทางการพยากรณ์เมื่อดาวโคจรผิดปกติ

สิ่งแรกที่เราควรรู้ในการพิจารณาการโคจรของดวงดาวคือ “ทิศทาง” การเดินของดวงดาว ดาวต่างๆ จะเดินเป็นวงกลมไปบนจักรราศีที่จำลองมาจากระบบสุริยะ การเดินเป็นวงกลมนั้นมักจะถูกนำไปเทียบกับการหมุนของเข็มนาฬิกาซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการเข้าใจ ดาว 10 ดวงในสภาวะที่เดินปกติ จะมีทั้งที่ เดินทวนเข็มนาฬิกา และ เดินตามเข็มนาฬิกา ได้แก่

  • กลุ่มที่ 1 ดวงดาวที่โคจรในทิศทางทวนเข็มนาฬิกามี 8 ดวง ประกอบด้วย
    • ดาวอาทิตย์
    • ดาวจันทร์
    • ดาวอังคาร
    • ดาวพุธ
    • ดาวพฤหัส
    • ดาวศุกร์
    • ดาวเสาร์
    • ดาวมฤตยู
  • กลุ่มที่ 2 ดวงดาวที่โคจรในทิศทางทวนเข็มนาฬิกามี 2 ดวง คือ
    • ดาวราหู
    • ดาวเกตุ

วิธีการจำง่ายๆ ก็คือ มีดาวเคราะห์ในวิชาโหราศาสตร์เพียง 2 ดวง คือ “ดาวราหู” และ “ดาวเกตุ” ที่โคจรในทิศทางตามเข็มนาฬิกา นอกนั้น ตามปกติจะเดินทวนเข็มนาฬิกา

เราจะเห็นได้ว่า มีดาวบางดวงที่เดินด้วยความเร็วคงที่ ไม่มีช้า, เร็ว หรือถอยหลัง ดังนั้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนที่เราจะหาว่าดาวใดโคจรวิปริตบ้าง คือเราต้องรู้ว่าตามธรรมชาตินั้น ดาวดวงใดบ้างที่เดินวิปริต เราจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาคำนวณกับดาวที่เดินด้วยความเร็วคงที่ค่ะ

ดาวที่เดินตรง (หมายถึงมีความเร็วคงที่เสมอ) ไม่เคยวิปริต คือ

  1. ดาวอาทิตย์
  2. ดาวจันทร์
  3. ดาวราหู
  4. ดาวเกตุ

ส่วนดาวที่เดินวิปริตได้ คือ

    1. ดาวอังคาร
    2. ดาวพุธ
    3. ดาวพฤหัส
    4. ดาวศุกร์
    5. ดาวเสาร์
    6. ดาวมฤตยู

เพื่อจะให้รู้ว่าดาวโคจรผิดปกติหรือไม่ เราจะต้องรู้ 2 อย่าง คือ “ทิศทาง” กับ “ความเร็ว” เรื่องทิศทางเราได้กล่าวไปแล้ว ทีนี้เราจะพูดถึงความเร็วในการโคจรของดวงดาว เราจะมาดูนิยามของคำว่า “ความเร็ว” กันก่อน

ความเร็ว คือ “ระยะทางต่อเวลา” หมายถึงว่า ถ้าในเวลาเท่าๆ กัน ใครเดินได้ระยะทางที่มากกว่า ก็จะมีความเร็วที่มากกว่า แต่ถ้าในเวลาเท่าๆ กัน ใครเดินได้ระยะทางที่น้อยกว่า ก็จะมีความเร็วที่น้อยกว่า หรือเดินได้ช้า แต่ถ้าใครเดินสวนทางก็จะเป็นระยะทางติดลบ (ระยะทางที่ติดลบก็จะทำให้ความเร็วติดลบไปด้วย)

ทีนี้เราจะมาดูการโคจรของดวงดาวบนจักรราศี จะต้องมีการพลิกแพลงกันสักหน่อย เนื่องจากการโคจรหรือการเดินของดวงดาว ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเหมือนการเดินตามถนนทั่วๆไป แต่โคจรเป็นวงกลมไปรอบๆ จักรราศี ระยะที่วัดในการโคจรจึงเป็น “องศา” แทนที่จะเป็น “ระยะทาง” ถ้าเรายังพอจะจำวิชาเรขาคณิตได้ (วิชาเรขาคณิตเป็นบทเรียนในวิชาคณิตศาสตร์เกี่ยวกับมุม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม และ วงกลมต่างๆ) ทีมงานก็ขอเท้าความสักนิดหน่อย เพื่อจะได้นำเข้าสู่การอธิบายเรื่องการโคจรของดวงดาวกันต่อไปค่ะ

ทบทวนทฤษฎีเรขาคณิต

  • วงกลมวงหนึ่งมีมุมรอบจุดศูนย์กลางเท่ากับ 360 องศา
  • 1 องศา เท่ากับ 60 ลิปดา (เทียบได้คล้ายๆ กับ 1 ชั่วโมงมี 60 นาที)
  • 1 ลิปดา เท่ากับ 60 ฟิลิปดา (เทียบได้คล้ายๆ กับ 1 นาทีมี 60 วินาที)
  • เพราะฉะนั้น เราจะได้ว่า
    • วงกลมแทนจักรราศี มีมุมรอบจุดศูนย์กลางเท่ากับ 360 องศา
    • วงกลมแทนจักรราศี ถูกแบ่งออกเป็น 12 ราศี
    • หนึ่งราศีจึงเทียบเท่ากับ 360/12 = 30 องศา

เมื่อนักพยากรณ์ได้ทำความเข้าใจพื้นฐานของจักรราศีว่าแต่ละราศีมี 30 องศากันแล้ว เราก็จะมาดูวิธีการอ่านปฏิทินดาว หรือ ไดอารี่โหร เพื่อหาว่าดวงดาวโคจรไปได้กี่องศา? สำหรับท่านที่อ่านปฏิทินและคำนวณหาองศาของดาวได้เก่งแล้ว ก็สามารถข้ามตอนนี้ไปได้เลยนะคะ แต่สำหรับท่านที่ยังสงสัยในการคำนวณหาองศาดาวว่าเดินวิปริตหรือไม่ ก็ชมรายการต่อเนื่องไปได้เลยค่ะ

เนื่องจากทีมงานไม่ได้เรียนโหราศาสตร์ภาคคำนวณ ซึ่งเป็นความรู้ที่ยากใช้ในการสร้างปฏิทินดาว เราก็จะไปเน้นในเรื่องการประยุกต์ใช้ คือเป็นนักพยากรณ์ประเภทที่นำตำแหน่งและค่าองศาต่างๆ จากปฏิทินดาวมาใช้งานเลย ปฏิทินดาวหรือไดอารี่โหรนับเป็นอาวุธประจำกายของนักพยากรณ์ ทุกท่านต้องมีติดตัวเป็นคู่มือไว้ เหมือนมีดทำครัวของเชฟ หรือ ปืนของตำรวจนั่นเอง สำหรับนักพยากรณ์มือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยก็สามารถศึกษาไปพร้อมๆ กันได้เลยนะคะ

ในการอ่านปฏิทินดาวหรือไดอารี่โหร สิ่งพื้นฐานที่เราควรทราบจะอยู่ใน “บทนำ” ที่เป็นส่วนแรกๆ ของเล่มปฏิทิน ซึ่งจะบอกวิธีใช้เป็นคู่มืออย่างละเอียด บางเรื่องเราก็อยากรู้ บางเรื่องก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจ ทีมงานจึงเลือกมาเฉพาะ 3 จุดสำคัญที่ใช้ในการหาว่าดาวเดินปกติหรือไม่ ประกอบด้วย

  1. อักษรย่อของดวงดาว
  2. หมายเลขราศี
  3. ตำแหน่งดาวเป็นองศา และ ลิปดา

เมื่อเราเปิดปฏิทินดาว จะเห็นอักษรย่อแทนดาวทั้ง 10 ดวง คือ

  1. อ แทน ดาวอาทิตย์  มาจากคำว่า อาทิตโต ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๑ ไทย
  2. จ แทน ดาวจันทร์  มาจากคำว่า จันโท ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๒ ไทย
  3. ภ แทน ดาวอังคาร  มาจากคำว่า ภุมโม ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๓ ไทย
  4. ว แทน ดาวพุธ  มาจากคำว่า วุโธ ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๔ ไทย
  5. ช แทน ดาวพฤหัส  มาจากคำว่า ชีโว ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๕ ไทย
  6. ศ แทน ดาวศุกร์  มาจากคำว่า ศุกโร ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๖ ไทย
  7. ส แทน ดาวเสาร์ มาจากคำว่า เสาโร/โสโร  ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๗ ไทย
  8. ร แทน ดาวราหู  ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๘ ไทย
  9. ก แทน ดาวเกตุ  ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๙ ไทย
  10. ม แทน ดาวมฤตยู  ในจักรราศีแทนด้วย เลข ๐ ไทย                           

เราก็ได้ทราบอักษรย่อของดาวทั้ง 10 ดวงแล้ว ลำดับต่อไปก็จะเป็นการดูราศีที่เขียนในตารางของปฏิทินดาว เมื่อเราอ่านปฏิทินดาว หรือ ไดอารี่โหร จะมีจุดเริ่มต้นที่ราศีเมษ-นับเป็นราศี0 จากนั้นให้นับทวนเข็มนาฬิกา ราศีพฤษภ-นับเป็นราศี1 ราศีมิถุน-นับเป็นราศี2 ไล่เรื่อยไป เรียงตามลำดับได้ดังนี้

  • ราศี 0         ราศีเมษ
  • ราศี 1         ราศีพฤษภ
  • ราศี 2         ราศีมิถุน
  • ราศี 3         ราศีกรกฎ
  • ราศี 4         ราศีสิงห์
  • ราศี 5         ราศีกันย์
  • ราศี 6         ราศีตุลย์
  • ราศี 7         ราศีพิจิก
  • ราศี 8         ราศีธนู
  • ราศี 9         ราศีมังกร
  • ราศี 10       ราศีกุมภ์
  • ราศี 11       ราศีมีน

ในตอนนี้เราจะมาดูตำแหน่งของดวงดาวในไดอารี่โหร หรือ ปฏิทินดาวกันค่ะ

จักรราศีทางด้านซ้ายจะแสดงราศีทั้ง 12 วนทวนเข็มนาฬิกาเป็นวงกลม และมีสัญลักษณ์เลขไทยแทนดาวทั้ง 10 ดวง ซึ่งเราคุ้นเคยกันดีแล้ว เราก็จะมาโฟกัสที่ตารางทางด้านขวากันเลย

ขออนุญาตไล่ตาม “แถว” หรือบรรทัดบนลงล่างก่อนนะคะ แถวแรกจะเห็นอักษรย่อ อ หมายถึง ดาวอาทิตย์, แถวที่ 2 อักษรย่อ จ คือ ดาวจันทร์, แถวที่ 3 อักษรย่อ ภ (ภุมโม) คือดาวอังคาร ไล่ไปทีละบรรทัด พุธ พฤหัส ศุกร์ ไปจนถึงดาวสุดท้ายคือมฤตยู

ต่อมาก็จะไม่ไล่ดูตาม “หลัก” ในแนวตั้ง เรียกว่า คอลัมน์ (Column) ค่ะ เริ่มจากคอลัมน์ซ้ายที่ติดกับจักรราศี

  1. คอลัมน์ที่ 1 ทางซ้ายสุด บอกราศีที่ดาวสถิตอยู่ เป็นเลข 0-11 หมายถึง ราศีเมษ-ราศีมีน
  2. คอลัมน์ที่ 2 บอกองศาในราศี เป็นเลข 0-30 (เพราะ 1 ราศีมี 30 องศา)
  3. คอลัมน์ที่ 3 บอกลิปดาในราศี (เศษขององศา) เป็นเลข 1-60 (เพราะ 1 องศามี 60 ลิปดา)
  4. คอลัมน์ที่ 4 เป็นสัญลักษณ์ของดาว อ ถึง ม หมายถึง ดาวอาทิตย์ ถึง ดาวมฤตยู
  5. คอลัมน์ที่ 5 บอกเวลาที่ดาวยกเข้ามาที่ราศีนั้น เป็นเลข 00.00 – 24.00 นาฬิกา

 

เรามาดูตัวอย่างการอ่านปฏิทินดาวกันค่ะ

ตัวอย่างที่ 1 จงหาตำแหน่ง ดาวเสาร์ จากปฏิทินดาวในวันที่ 14 มีนาคม

วิธีทำ   ดูวงกลมจักรราศี จะเห็น ดาวเสาร์ เลข ๗ ไทย สถิตอยู่ราศีสิงห์

ถ้าเราดูตามตารางด้านขวา เราก็หาตัวย่อ “ส” ของดาวเสาร์ จะเห็นว่า “ส” อยู่บรรทัดที่ 7 เพราะฉะนั้น ค่าต่างๆ ในบรรทัดที่ 7 จะเป็นรายละเอียดของดาวเสาร์ คือ

  1. คอลัมน์ที่ 4 = ส (อักษรย่อ ส) คือ ดาวเสาร์
  2. คอลัมน์ที่ 1 = 4 (สถิตราศีที่ 4) คือ ราศีสิงห์
  3. คอลัมน์ที่ 2 = 6 (องศา) คือ อยู่ที่ 6 องศา
  4. คอลัมน์ที่ 3 = 13 (ลิปดา) คือ อยู่ที่ 13 ลิปดา

ตอบ     อ่านรวมได้ว่า ดาวเสาร์ อยู่ราศีสิงห์ ที่ 6 องศา 13 ลิปดา

เมื่อเรารู้ตำแหน่งของดวงดาวจากปฏิทินกันแล้ว ขั้นตอนต่อไป เราจะมาหา “องศา” (หรือระยะทางเชิงมุม) ที่ดาวเดินไปได้ วิธีหาก็คือ เราจะเอาตำแหน่งดาวที่ “ปลายทาง” เป็นตัวตั้ง แล้วเอาตำแหน่งดาวที่ “ต้นทาง” มาลบกัน

 

มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

เมื่อเรากำหนดช่วงวันที่เราจะหา “องศา” ดาวที่เดินไปได้ เช่น วันที่ 1 ธันวาคม ถึง วันที่ 7 ธันวาคม 2566 เราก็ทำได้โดย

  1. หาตำแหน่งดาววันปลายทาง (วันที่ 7 ธ.ค.)
  2. หาตำแหน่งดาวต้นทาง (วันที่ 1 ธ.ค.)
  3. องศาปลายทาง – องศาต้นทาง = องศาที่ดาวเดินไปได้

เราจะไปแสดงวิธีทำกันในหน้าต่อไปค่ะ

ในตอนนี้ เราจะมาดูตัวอย่างกันค่ะ เรามาตั้งโจทย์กันก่อน ว่า:

ตัวอย่างที่ 2 จงหา “องศา” หรือ “ระยะเชิงมุม” ของดาวอังคาร ว่าโคจรไปได้เท่าไร ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ถึง 7 ธ.ค. 2566 ?

วิธีทำ   1. หาตำแหน่งดาวอังคารที่ปลายทาง

  • เราดูตามปฏิทิน วันที่ 7 ธ.ค. 2566
  • ตำแหน่ง ดาวอังคาร คือ สัญลักษณ์ ภ (ภุมโม)
    • ราศี 7 = ราศีพิจิก
    • องศา = 16
    • ลิปดา = 8

เราจะได้ตำแหน่งดาวอังคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 2566 คือ ราศีพิจิก 16 องศา 8 ลิปดา (เป็นตัวตั้ง)

  1. หาตำแหน่งดาวอังคารที่ต้นทาง
    • เราดูตามปฏิทิน วันที่ 1 ธ.ค. 2566
    • ตำแหน่ง ดาวอังคาร คือ สัญลักษณ์ ภ (ภุมโม)
      • ราศี 7 = ราศีพิจิก
      • องศา = 11
      • ลิปดา = 47

เราจะได้ตำแหน่งดาวอังคาร ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2566 คือ ราศีพิจิก 11 องศา 47 ลิปดา (เป็นตัวลบ)

3. นำตำแหน่งที่ปลายทาง (7 ธ.ค.) ตั้ง แล้วลบด้วย ตำแหน่งที่ต้นทาง (1 ธ.ค.)

จะได้ว่า (ราศีพิจิก 16 องศา 8 ลิปดา) – (ราศีพิจิก 11 องศา 47 ลิปดา)

วิธีลบ   เราเริ่มลบที่ลิปดาก่อน 8 ลิปดา – 47 ลิปดา ไม่ได้ เพราะตัวลบมากกว่า

เราต้องต้องยืมตัวตั้ง มา 1 องศา (เท่ากับยืมมา 60 ลิปดา)

          จะได้ว่า (ราศีพิจิก 15 องศา 68 ลิปดา) – (ราศีพิจิก 11 องศา 47 ลิปดา)

          นำองศามาลบกัน และ นำลิปดามาลบกัน

          จะได้เท่ากับ (15-11) องศา (68-47) ลิปดา = 4 องศา 21 ลิปดา

 

เราก็ได้คำตอบแล้วนะคะ ว่า

ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ถึง 7 ธ.ค. 2566

ตอบ     “องศา” หรือ “ระยะเชิงมุม” ของดาวอังคาร โคจรไปได้  = 4 องศา 21 ลิปดา

ในตอนนี้เราจะมาดูความเร็วมาตรฐานของดวงดาวที่โคจรปกติกันค่ะ

  • ดาวอาทิตย์ 1 ราศี ใช้เวลา 1 เดือน
  • ดาวจันทร์  1 ราศี ใช้วลา 2 วันครึ่ง
  • ดาวอังคาร  1 ราศี ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง
  • ดาวพุธ  1 ราศี ใช้เวลา 1 เดือน
  • ดาวพฤหัสบดี 1 ราศี ใช้เวลา 1 ปี
  • ดาวศุกร์  1 ราศี ใช้เวลา 1 เดือน
  • ดาวเสาร์  1 ราศี ใช้เวลา 2 ปีครึ่ง
  • ดาวราหู  1 ราศี ใช้เวลา 1 ปีครึ่ง
  • ดาวเกตุ 1 ราศี ใช้เวลา 2 เดือน
  • ดาวมฤตยู  1 ราศี ใช้เวลา 7 ปี

 

ถ้าเราอยากรู้ว่า ในแต่ละวัน ดาวไหนเดินแบบปกติได้กี่องศา จะได้เก็บไว้เป็นค่ามาตรฐานอ้างอิง ก็ให้เรานำ 30 องศา (คือ 1 ราศี) มาตั้ง แล้วหารด้วยจำนวนวันของแต่ละดาว เราก็จะได้ “ระยะทางเชิงมุม” หรือ “องศา” ที่ดาวเดินได้ต่อหนึ่งวัน ยกตัวอย่างเช่น “ดาวพุธ เดินปกติเดือนละ 1 ราศี”

  • วิธีคิด: 1 รอบวงกลม ของจักรราศีมี 12 ราศี คือ 360 องศา
  • นั่นคือ: 1 ราศีนั้น เท่ากับ 360 องศา หาร 12 คือ 30 องศา
  • และ: 1 ราศี ดาวพุธใช้เวลา 30 วัน
  • เพราะฉะนั้น: 1 ราศี คือ 30 องศา ใช้เวลา 30 วัน
  • เมื่อนำ 30 องศา หาร 30 วัน
  • ก็จะได้ว่า: ดาวพุธเดินปกติ วันละ 1 องศา

 

ทีมงานก็ได้ทำการคำนวณมาให้แล้วว่า แต่ละดาวเดินได้วันละกี่องศา สามารถนำค่าไปเทียบกับองศาดาวในปฏิทินได้นะคะ

  1. ดาวอาทิตย์ เดินตรงเสมอ เป็นดาวรายเดือน 1 วันเดินได้ 1 องศา
  2. ดาวจันทร์ เดินตรงเสมอ 2 วันครึ่ง เดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 12 องศา
  3. ดาวอังคาร 45 วัน เดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 40 ลิปดา
  4. ดาวพุธ เป็นดาวรายเดือน 1 วันเดินได้ 1 องศา
  5. ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวรายปี 365 วันเดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 4.93 ลิปดา
  6. ดาวศุกร์ เป็นดาวรายเดือน 1 วันเดินได้ 1 องศา
  7. ดาวเสาร์ 2 ปีครึ่ง = 5 วัน เดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 1.97 ลิปดา
  8. ดาวราหู เดินตรงเสมอ 1 ปีครึ่ง = 545 วัน เดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 3.29 ลิปดา
  9. ดาวเกตุ เดินตรงเสมอ 2 เดือน เดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 30 ลิปดา
  10. ดาวมฤตยู 7 ปี = 2,555 วัน เดินได้ 30 องศา หรือ เดินได้วันละ 0.7045 ลิปดา = 42.24 ฟิลิปดา

มาถึงตอนนี้ เราหาตำแหน่งดาวได้, หาองศาที่ดาวเดินทางได้ และรู้ความเร็วมาตรฐานของทุกดาวกันแล้ว ก็จะมาถึงจุดที่เราจะดูว่าดาวโคจรผิดปกติหรือเปล่า ?

การที่เราจะดูว่าดาวโคจรผิดปกติหรือไม่นั้น เราเปรียบเทียบจากองศาของดาว “ที่เดินจริง” เทียบกับ องศาของดาว “ที่เดินปกติ”

องศาที่เดินจริง หาได้จากปฏิทินดาว หรือ ไดอารี่โหร

องศาปกติ หาได้จากการคำนวณ

ถ้าเปรียบเทียบ “องศา” กันแล้ว ได้ออกมาเท่ากันหรือพอๆกัน (คือแตกต่างเพียงเล็กน้อย) ก็ถือว่าดาวเดินปกติ แต่ถ้าเทียบแล้วต่างกัน เช่น

  1. องศาที่เดินได้จริง ติดลบ คือ เดินถอยหลัง
  2. องศาที่เดินได้จริง น้อยกว่า องศาปกติ คือ เดินช้า
  3. องศาที่เดินได้จริง มากกว่า องศาปกติ คือ เดินเร็ว
  4. องศาที่เดินได้จริง เป็นศูนย์ หรือเกือบศูนย์ คือ นิ่ง ไม่เคลื่อนที่

 

ขอหมายเหตุไว้นิดหนึ่ง ว่าการดูองศาของดาววันต่อวัน มันจะสังเกตได้ยากเพราะบางทีความแตกต่างที่เล็กน้อยมากๆ ทำให้เราตัดสินไม่ได้ว่าช้าหรือเร็ว ขอแนะนำให้ดูองศาเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงจะเห็นความแตกต่างได้ดีกว่า

         

ดังนั้นเมื่อเราเปิดดูไดอารี่โหร หรือ ปฏิทินดาว แล้วเห็นว่าองศาของดาวไม่เท่ากับค่ามาตรฐาน แสดงว่ามีการเดินผิดปกติ เราก็ต้องปรับการทำนายตามไปด้วยจึงจะมีความแม่นยำถูกต้อง

ในตัวอย่างแรก เราสามารถหาตำแหน่งดาวแบบละเอียดเป็นองศา ลิปดา ได้แล้ว

ตัวอย่างที่ 2 เราสามารถหา “ระยะเชิงมุม” หรือ “องศา” ที่ดาวเดินไปได้แล้วเช่นกัน

ตัวอย่างต่อไป เราจะวิเคราะห์ผลการคำนวณว่าดาว “เดินปกติ” หรือ “เดินวิปริต”

 

ตัวอย่างที่ 3 จงหาว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ถึง 7 ธ.ค. 2566 ดาวอังคารเดินปกติ หรือไม่ ?

วิธีทำ  

  1. หาองศาที่ดาวอังคารเดินได้จริงจากปฏิทิน
    • หาตำแหน่งปลายทางของดาวอังคาร วันที่ 7 ธ.ค. คือ ราศีพิจิก 16 องศา 8 ลิปดา
    • หาตำแหน่งต้นทางของดาวอังคาร วันที่ 1 ธ.ค. คือ ราศีพิจิก 11 องศา 47 ลิปดา
    • นำองศาปลายทาง – องศาต้นทาง = 4 องศา 21 ลิปดา                    
  • คำนวณเพื่อหาองศาจากการเดินปกติ
    • ดาวอังคารปกติเดินได้วันละ 40 ลิปดา
    • วันที่ 1-7 ธ.ค. นับได้ 7 วัน
    • ดาวอังคารจะเดินได้ = 7×40 ลิปดา = 280 ลิปดา
    • คิดเป็นองศา (หารด้วย 60) ได้เท่ากับ 4.67 องศา = 4 องศา 39 ลิปดา
  • เมื่อเปรียบเทียบกัน (เดินจริง 4 องศา 21 ลิปดา) กับ (คำนวณ 4 องศา 39 ลิปดา) ประมาณเท่าๆ กัน

สรุปได้ว่า วันที่ 1 – 7 ธ.ค. 2566 ดาวอังคารโคจรปกติ เป็นคำตอบค่ะ

เราได้เห็นดาวโคจรปกติในตัวอย่างที่ 3 ไปแล้ว ต่อไปจะดูดาวอื่นเพิ่มเติมกันค่ะ

ตัวอย่างที่ 4 จงหาว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ถึง 7 ธ.ค. 2566 ดาวพุธเดินปกติ หรือไม่ ?

วิธีทำ  

  1. หาองศาที่ดาวพุธเดินได้จริงจากปฏิทิน
    • หาตำแหน่งปลายทางของดาวพุธ วันที่ 7 ธ.ค. คือ ราศีพิจิก 29 องศา 40 ลิปดา
    • หาตำแหน่งต้นทางของดาวพุธ วันที่ 1 ธ.ค. คือ ราศีธนู 2 องศา 18 ลิปดา
    • จะเห็นได้ว่าดาวพุธยกจากธนูกลับไปราศีพิจิก ถอยหลังข้ามราศี
    • เราจึงต้องคิดระยะทางเป็น 2 ส่วน แล้วนำมารวมกัน
      • ส่วนที่เดินในราศีธนู 2 องศา 18 ลิปดา
      • ส่วนที่เดินในราศีพิจิก เท่ากับ 30 องศา – 29 องศา 40 ลิปดา = 20 ลิปดา

คิดเป็นระยะทางที่ดาวพุธเดินได้ = -2 องศา 38 ลิปดา (คือเดินถอยหลังข้ามราศี) เป็นคำตอบค่ะ   

ต่อมาเราจะมาดูดาวพฤหัสกันค่ะ

ตัวอย่างที่ 5 จงหาว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ถึง 7 ธ.ค. 2566 ดาวพฤหัสเดินปกติ หรือไม่ ?

วิธีทำ  

  1. หาองศาที่ดาวพฤหัสเดินได้จริงจากปฏิทิน
    • หาตำแหน่งปลายทางของดาวพฤหัส วันที่ 7 ธ.ค. คือ ราศีเมษ 12 องศา 48 ลิปดา
    • หาตำแหน่งต้นทางของดาวพฤหัส วันที่ 1 ธ.ค. คือ ราศีเมษ 13 องศา 29 ลิปดา
    • นำองศาปลายทาง – องศาต้นทาง = 12 องศา 48 ลิปดา – 13 องศา 29 ลิปดา = -41 ลิปดา (คือเดินถอยหลังในราศีเมษ) เป็นคำตอบค่ะ

 

เมื่อดาวเดินถอยหลังเราจึงไม่ต้องไปคำนวณเทียบกับการโคจรมาตรฐานอีกค่ะ

จากความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา เราก็มาถึงจุดสำคัญที่สุดของเรื่อง คือ แนวทางการพยากรณ์สำหรับดาวที่โคจรผิดปกติ เมื่อเราพบว่าดาวโคจรวิปริตแล้วนักพยากรณ์ควรทำนายอย่างไร

 

การพยากรณ์สำหรับดาวที่เดินผิดปกติ

  • เดินเร็ว” ดาวเดินเร็วกว่าปกติ เหตุการณ์จะเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าปกติ เช่น คิดเร็ว พูดเร็ว เรียนเร็ว หรือ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นแบบเร็วๆ เป็นอยู่แป๊บเดียวก็หาย เช่น ทุกข์ไม่นานก็หาย เหนื่อยไม่นานก็หาย พยายามอยู่ไม่นานก็เลิกราไป ความสุขหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่นานแล้วจางหายไป ในกรณีที่เป็นโอกาสดีๆ จะมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ไม่นาน ถ้ามัวชักช้า ไม่รีบก็จะไม่ทันการณ์ ต้องสูญเสียโอกาสไป เป็นต้น
  • เดินปกติ / เดินช้า” เมื่อดาวเดินปกติ หรือเดินช้ากว่าปกติไม่มาก เหตุการณ์จะเกิดขึ้นตามปกติ
  • เดินช้ามาก / หยุดนิ่ง” เมื่อดาวเดินช้ามากหรือองศาหยุดนิ่งเฉยๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าธรรมดา หรือ เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ เช่น เกิดดราม่า หัวร้อน ควบคุมไม่ได้ ถ้าเป็นการเจรจาหมายถึงการใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไป ถ้าเป็นความคิดก็หมายถึงคิดโอเวอร์ คิดฟุ้งซ่านเกินจริง
  • ถอยหลัง” เมื่อดาวเดินถอยหลัง เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรไปจากปกติ เช่น เรื่องที่ตกปากรับคำกันแล้วกลับทำไม่ได้ สัญญาไม่เป็นสัญญา คนที่เป็นผู้ใหญ่กลับทำตัวไม่น่านับถือ คนถือกฎกลับแหกกฎเสียเอง เหล่านี้เป็นต้น เมื่อดาวเดินถอยหลังนอกจากจะส่งผลกลับหัวกลับหางของตัวดาวเองแล้ว ยังส่งผลให้กับดาวอื่นที่กระทบหรือโยคถึง ทำให้มีผลกลับตาลปัตรตามไปด้วย เช่น “ดาวคู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล กลับส่งผลเสีย” และ “ดาวคู่ศัตรู กลับส่งผลดี” และสุดท้ายคือ ดาวที่ถึงกันเป็นก๊กเหล่า เมื่อดาวเดินถอยหลังทำให้เกิดอาการ “ก๊กแตก” แทนที่ดาวก๊กจะรวมพลังกันส่งผลให้มีอานุภาพสูงส่ง ก็กลับแตกคอกัน ขัดแย้ง ตกลงกันไม่ได้ หักหลังกันเอง ทำให้เกิดความเสียหาย ถูกแฉ ถูกเปิดโปง จึงต้องแยกย้ายสลายตัว ถูกจับ หรือถูกปราบปรามให้รับโทษทันฑ์กันไป

ความรู้โหราศาสตร์ ว่าด้วยการโคจรของดวงดาว ที่ทีมงานตาณฑวะรวบรวมและเรียบเรียง มานำเสนอให้กับแฟนรายการที่ชื่นชอบการพยากรณ์ ก็มีเนื้อหาสาระและตัวอย่างการคำนวณพอให้เข้าใจและสามารถจดจำนำไปใช้ หวังว่าคงไม่ยากจนเกินไป และ คงพอมีประโยชน์ต่อท่านผู้ชมบ้างไม่มากก็น้อย ทีมงานขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชม หากมีข้อเสนอแนะก็สามารถ comment ไว้ได้ หรือถ้าท่านผู้ชมอยากให้นำเสนอในเรื่องใดก็บอกได้นะคะ หากเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ทีมงานก็ยินดีที่จะได้แบ่งปันความรู้กัน เพื่อให้วิชาโหราศาสตร์ของครูบาอาจารย์ ได้เป็นประเด็นในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันต่อไป ทีมงานตาณฑวะขอจบเรื่องการโคจรของดวงดาวไว้เพียงเท่านี้ พบกันใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

ด้วยสำนึกในพระคุณครู

กราบแทบบาทครูบาอาจารย์เจ้า ผู้คอยเฝ้าสอนสั่งศิษย์ทั้งหลายฯ

ทีมงานตาณฑวะ