วิศิษฏไทฺวตะเวทานตะ
วิศิษฏไทฺวตะเวทานตะ
วิศิษฏไทฺวตะเวทานตะ เป็นปรัชญาที่เกิดภายหลังอไทฺวตะเวทานตะ ผู้ก่อตั้งสำนักปรัชญานี้คือท่าน “รามานุช” ซึ่งมีอายุถึง 120 ปี (ในปี พ.ศ. 1560-1680) ท่านรามานุชได้รจนาคัมภีร์อธิบายพรหมสูตรโดยตีความตามทรรศนะของท่าน ซึ่งไม่ตรงกับอไทฺวตะเวทานตะของท่านศังกราจารย์ จึงเกิดระบบปรัชญาเวทานตะใหม่ขึ้นมาอีกสำนักหน่งชื่อว่า วิศิษฏไทฺวตะเวทานตะ และชักนำประชาชนจำนวนมากให้หันมานับถือลัทธิไวษณะวะ (นับถือพระนารายณ์เป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด) ชาวอินเดียในยุคท่านรามานุชเชื่อว่าท่านรามานุชเป็นอวตารของพระนารายณ์
ท่านรามานุชมีทรรศนะว่า “พระเจ้าเป็นสากลจักรวาล” บรรดาสสารวิญญาณชีวาตมันทั้งปวงรวมเป็นร่างกายของพระองค์ ทรงควบคุมสิ่งต่างๆ จากภายใน พระเจ้าเป็นสิ่งเที่ยงแท้ปราศจากการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เกิดจากพระองค์ไม่เที่ยง ชีวาตมันทั้งหลายได้รับสุขทุกข์เวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่มีผลกระทบต่อพระองค์ พระเจ้าสถิตในทุกสิ่งและอยู่เหนือกฎแห่งกรรม
ความภักดีสูงสุดคือความรู้ที่แท้จริง
ท่านรามานุชมีทรรศนะว่าโลกนี้เป็นของจริง โดยมีพรหมเป็นผู้สร้างจากพระองค์เอง การสร้างโลกเป็นการสร้างจริงๆ มิใช่มายา (อย่างที่ท่านศังกราจารย์กล่าวไว้) และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงจริงๆ มิใช่เพียงมายา ท่านรามานุชเชื่อว่าโลกต้องเกิดขึ้นเพื่อให้ชีวาตมันได้เสวยผลแห่งอดีตกรรมของตนทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล
ทรรศนะของท่านรามานุชไม่มีการหลุดพ้นขณะยังมีชีวิต (ชีวานมุกติ) เพราะชีวาตมันยังติดข้องอยู่กับกายเนื้อซึ่งค้านกับท่านศังกราจารย์ วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงโมกษะของท่านรามานุชมี 2 วิธีคือ
- กรรมโยคะ (การบำเพ็ญตบะและบูชาอย่างสม่ำเสมอโดยไม่หวังผลแม้แต่สวรรค์) และ
- ญาณโยคะ (การศึกษาเวทานตะ จนตระหนักรู้ถึงความจริง)
การบรรลุโมกษะนั้นไม่ได้มาด้วยการศึกษาหรือใช้ตรรกะ แต่บรรลุด้วยความกรุณาของพระเจ้า ดังนั้นความภักดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สรุปทรรศนะที่แตกต่างกันของ วิศิษฏไทฺวตะเวทานตะ กับ อไทฺวตะเวทานตะ หรือ ท่านรามาชุน กับ ท่านศังกราจารย์ได้ดังนี้
- ท่านรามานุชเห็นว่า “มายา” คือ อำนาจที่พระเจ้าใช้สร้างโลก มิใช่ “อวิชชา” ที่ทำให้อาตมันไม่รู้ความจริง ดังนั้น มายากับอวิชชา มิใช่สิ่งเดียวกัน (ซึ่งท่านศังกราจารย์เห็นว่าเป็นสิ่งเดียวกัน)
- ท่านศังกราจารย์กล่าวว่าผู้ที่บรรลุโมกษะแล้ว หากยังมีชีวิตก็จะไม่อยู่เฉย เขาจะอุทิศตนเพื่ออย่างมากเพื่อโลก ผิดกับปุถุชน แต่ท่านรามานุชกล่าวว่าผู้บรรลุโมกษะจะมีสภาพอย่างเดียวกับพรหม พระพรหมจะแก้บ่วงต่างๆ ให้
- ท่านศังกราจารย์ให้ความสำคัญใน ชญาณกัณฑ์ (ความรู้ทางปรัชญา) มากกว่า กรรมกัณฑ์ (หน้าที่ ระเบียบ การบูชา) แต่ท่านรามานุชให้ทั้งสองตอนมีความสำคัญเท่ากัน
- ท่านศังกราจารย์มีทรรศนะว่า ชีวาตมัน (อาตมัน) คือ พรหมัน (ปรมาตมัน) การเข้าสู่ภาวะความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพรหมันคือการบรรลุโมกษะ แต่ท่านรามานุชเห็นว่าเมื่อบรรลุโมกษะ ชีวาตมัน (ซึ่งเป็นปรมาณู) มิได้กลืนหายไปกับพรหม เพียงแต่มีสภาพคล้ายพรหม และรู้แจ้งในสถานะอันแท้จริงว่าเป็นส่วนหนึ่งของพรหม (พระเจ้า)
อ้างอิงจาก ตำราปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ โดย รศ. นงเยาว์ ชาญณรงค์
"หน้าที่" สำคัญเท่ากับ "ความรู้"
แนวคิด
การได้รับความรู้มาจาก 3 ทางคือ
- ประจักษ์ (การรับรู้)
- อนุมาน (เหมือนของปรัชญามีมางสา) และ
- ศัพท (จากการบอกเล่า หรือศึกษาพระคัมภีร์)
ท่านรามานุชให้ความสำคัญต่อ กรรมกัณฑ์ (หน้าที่ การปฏิบัติบูชา ตอนต้นของพระเวท) เท่าเทียมกับ ชญาณกัณฑ์ (ความรู้ทางปรัชญา ตอนท้ายของพระเวท) ถือว่ามีความสัมพันธ์กันต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
หลักการ
ท่านรามานุชเห็นว่า พรหมันคือพระเจ้าที่มีตัวตน มีอาตมันและสสารต่างๆ ประกอบขึ้นเป็นพรหม อาตมันแยกจากความรู้ (อาตมันคือตัวรู้ ความรู้นั้นอาศัยอยู่ในอาตมัน)
อาตมันมิใช่วิญญาณบริสุทธิ์แต่เป็นที่พักพิงของความรู้สึกตัว เมื่อบรรลุโมกษะชีวาตมันจะเข้าถึงสภาวะคล้ายคลึงกับพระเจ้าและรู้แจ้งเป็นส่วนหนึ่งแห่งร่ายกายพระเจ้า (มิได้กลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า)
ข้อปฏิบัติ
ข้อปฏิบัติเพื่อไปสู่การหลุดพ้นหรือโมกษะ คือ
- มีความรู้ที่แท้จริง (มิใช่แค่จากการบอกเล่า) เป็นสาเหตุ
- ความภักดีสูงสุดคือความรู้ที่แท้จริงเป็นทางตรงนำไปสู่การหลุดพ้น (โมกษะในทรรศนะของท่านรามานุชคือชีวาตมันรู้แจ้งสภาพอันแท้จริงว่าเป็นส่วนประกอบของพระเจ้า)
- ความรู้แจ้งจะทำลายกรรมให้หมดสิ้นและได้รับพระกรุณาจากพระเจ้าให้บรรลุโมกษะ